ผู้เขียน | สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน |
---|
การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกับรองนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 ราย ระหว่างวันที่ 24-26 ก.พ. และอาจเลยไปถึง 27 ก.พ.นั้น กำลังเป็นวิพากษ์วิจารณ์กันว่า กว่าจะถึงวันนั้น ขุนพลคนรุ่นใหม่ของพรรคอนาคตใหม่ จะมีโอกาสได้แสดงฝีไม้ลายมือพร้อมข้อมูลที่อัดแน่นได้หรือไม่
ต้องติดตามกันต่อไปด้วยใจระทึก
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หลายล้านเสียงที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ คงเฝ้ารอคอยอย่างจดจ่อ
อนาคตใหม่จะแน่หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ จะได้เห็น นายมิ่งขวัญ
แสงสุวรรณ์ บนเวทีอภิปรายชำแหละรัฐบาลอย่างแน่นอน
แม้ว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่ซึ่งเป็นพรรคสังกัด จะถอนตัวออกจากฝ่ายค้านไปแล้ว แต่มิ่งขวัญไม่ถอนไปด้วย
วันก่อนได้แถลงข่าวยืนยันท่าทีของตัวเองชัดเจนว่า ยังรักษาจุดยืนที่ประกาศเอาไว้ตอนเลือกตั้ง ว่าจะไม่ร่วมขั้วการเมืองฝ่าย คสช.
เมื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่จะไปร่วมกับฝ่าย คสช. ก็ต้องแยกทางกัน ไม่ขอร่วมอุดมการณ์ดังกล่าว
เช่นนี้แล้วบรรดาคอการเมืองโดยเฉพาะแฟนๆ ฝ่ายค้าน ก็มั่นใจได้ว่า มือหลักในการอภิปรายในซีกฝ่ายค้าน ยังมีชื่อมิ่งขวัญอยู่
แถมระดับมิ่งขวัญ ก็คงไม่แค่อภิปราย 20-30 นาทีเท่านั้น
ระดับนี้ต้องไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
โดยจะเป็นมืออภิปรายหลักในประเด็นความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้
คอเศรษฐกิจการเมือง เตรียมตัวรอได้เลย
การตัดสินใจยืนยันในจุดยืนเดิมของนายมิ่งขวัญครั้งนี้ นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กระทบต่ออนาคตของพรรคเศรษฐกิจใหม่อย่างรุนแรงไม่น้อย
การตัดสินใจถอนตัวจากฝ่ายค้าน ทำให้โดนชาวบ้านวิจารณ์ในแง่ลบอย่างมากอยู่แล้ว
เมื่อนายมิ่งขวัญประกาศไม่ร่วมกับพรรคนี้ต่อไป คงยิ่งส่งผลหนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ การที่พรรคเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นมาได้ และเข้าสภาได้ 6 ที่นั่ง
มาจากบารมีและชื่อของนายมิ่งขวัญเป็นสำคัญ ผสมเข้ากับจุดยืนไม่เอา คสช.ในช่วงเลือกตั้งด้วย
แต่วันนี้พรรคเศรษฐกิจใหม่ ทำตรงข้ามกับวันนั้นทั้งหมด
ไม่เอาทั้งนายมิ่งขวัญและไม่ยืนอยู่ในจุดยืนในวันเลือกตั้ง
แน่นอนว่า การเลือกหนทางไปร่วมฝ่ายรัฐบาลในวันนี้ มีผลได้เฉพาะหน้ามากมาย อีกทั้งด้วยระบบการเมืองภายใต้กติกาปัจจุบัน ด้วยอำนาจที่สนับสนุนทางการเมือง คงไม่ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ล้มได้ง่ายๆ การตัดสินใจร่วมกับรัฐบาล ก็คงทำให้พรรคนี้ได้อะไรต่อมิอะไรไปพอสมควร
แต่ระยะยาว จะเดินต่อไปอย่างไร และจะประสบความสำเร็จหรือไม่
คงพอเดาได้
กล่าวกันว่า รัฐบาลนี้เปรียบเหมือนรัฐบาลมีเส้น ไม่มีใครทำอะไรได้ง่ายๆ
แต่ในแง่การยอมรับจากประชาชนอาจจะตรงกันข้าม แค่เรื่องวิกฤตฝุ่นพีเอ็ม 2.5
และวิกฤตไวรัสโคโรนา ก็หาเสียงที่กล่าวชื่นชมจากคนทั้งประเทศได้ยากเต็มที
นึกภาพเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเปิดขึ้นในปลายเดือนนี้
ระหว่างดอกไม้กับก้อนอิฐ
ประชาชนส่วนใหญ่จะโยนอะไรให้กับฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ซักฟอกรัฐบาล
และโยนอะไรให้บรรดาองครักษ์รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐที่ยกมือหนุนหลังการอภิปราบจบ