สถานีคิดเลขที่12 : โรคติดเชื้อ-สืบทอด

รัฐบาลโดยศูนย์บริหารโควิด ตัดสินใจเลือกใช้มาตรการระดับกลาง แก้ไขปัญหาโควิด-19 ระบาดรอบใหม่

ไม่งัดยาแรง ล็อกดาวน์ เหมือนครั้งระบาดต้นปี เนื่องจากเกรงเกิดผล กระทบรุนแรง

ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังดำรงคงอยู่

ทั้งนี้เทียบกับครั้งแรกแล้ว ครั้งที่ 2 รุนแรงยิ่งกว่า

Advertisement

ต้นปี-มีนาคม มีผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน แค่ 2 กรณี สถานบันเทิงย่านทองหล่อ 10 คนต้นๆ

อีกเคสใหญ่ สนามมวยลุมพินี 52 คน
เทียบไม่ได้กับครั้งนี้

เอาแค่ข้อมูลที่รัฐรายงาน วันตัดสินใจล็อกดาวน์สมุทรสาคร ตรวจหาเชื้อ 1,149 ราย พบผู้ติดมากถึง 516 ราย รวมพบก่อนหน้า 13 ราย สถิติพุ่งขึ้นทันที 548 คน

Advertisement

ตัวเลขช็อกขนาดไหน

แพปลา ค้าขายอาหารทะเล ยังเป็นศูนย์กลางแพร่ขยายไม่หยุด อย่างที่พบลามเพิ่มรายวัน ผ่านการจับจ่าย ซื้อขายโดยพ่อค้า แม่ค้า ผู้เกี่ยวข้อง เชื่อมโยง ติดต่อรับเชื้อมรณะเป็นทอดๆ จังหวัดต่อจังหวัดครึ่งค่อนประเทศ

สถานการณ์หนักหน่วง รุนแรงกว่าครั้งแรกเห็นๆ

แต่รัฐบาลเลือกใช้มาตรการเชิงผ่อนปรน แบ่งโซนสีจังหวัดออกเป็น 4 กลุ่ม

เพื่อให้ง่ายต่อการออกคำสั่งจังหวัด ใช้มาตรการควบคุมสถานการณ์ระบาด

ต้นปี 25 มีนาฯ 2563 มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตามมาด้วยการออกข้อกำหนด

มีการคุม จำกัดการค้า กำหนดเวลาบริการ ปิดผับ บาร์ สถานบันเทิง ห้ามกิจกรรม อะไรต่อมิอะไร รวมถึงเคอร์ฟิว

ยาแรงล็อกดาวน์ ห้ามกิจกรรมครั้งนั้น

ส่งผลกระทบรุนแรง เศรษฐกิจพังพินาศ

รัฐกู้เงินก้อนใหญ่ นำมาช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เสียหายในภาคส่วนต่างๆ กันก้อนหนึ่งไว้กอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แต่วันนี้แม้ปลดล็อกคำสั่ง พันธนาการกิจกรรมเศรษฐกิจแล้ว แต่บ้านเมืองยังบอบช้ำ ซากปรักหักพังเกลื่อน ไม่ผ่านพ้นวิกฤต

รอวัคซีนชุบชีวิต คืนความปกติ

การที่รัฐบาลไม่ใช้ยาแรงแก้ระบาด หว่านแหล็อกดาวน์ไปทั่วราชอาณาจักรเหมือนต้นปี

แต่จัดโซน แบ่งสี ควบคุมระบาด จึงมีแต่เสียงตอบรับว่ามาถูกทาง จากทั้งสภาอุตสาหกรรมฯ สภาองค์การนายจ้าง หอการค้าไทย หรือแม้แต่ภาคธุรกิจการเงิน

เนื่องจากหากล็อกดาวน์จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีกครั้งสูงมาก

จริงอยู่สถานการณ์รุนแรง น่าห่วงใย แต่เรามีบทเรียนเรื่องนี้มาแล้ว

เดือนมีนาฯอาจจำเป็น เนื่องจากมันเป็นเรื่องใหม่ของโลกและไทย เกิดความตื่นตระหนกถ้วนทั่ว ต่อโรคร้ายที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและหยูกยารักษาโดยตรง

สถานการณ์ขณะนั้น ต่างกับขณะนี้ ที่มีการสำรองหยูกยา จัดเตียง โรงพยาบาลรักษาไว้รองรับระดับหนึ่ง

อีกทั้งไทย และโลก มีประสบการณ์ เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด

จัดสมดุลได้ระหว่างความปลอดภัยในสุขภาพอนามัย กับเรื่องปากท้อง

ไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์สถานเดียว หากประกาศใช้ต้องจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ และเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเห็นว่าคับขัน

เรื่องการระบาดของโควิดนั้น

จะว่าไปแล้ว การล็อกดาวน์ก็ดี ชัตดาวน์ประเทศก็ดี เป็นวิธีแต่โบร่ำโบราณ

ที่ใช้การปิดหมู่บ้าน ห้ามเข้า-ออกแก้โรคระบาด เพียงแต่สเกลใหญ่กว่ามาก

แต่กระนั้นการระบาดระลอก 2 เฉพาะตัวโรคภัยก็ไม่น่าวิตกเท่า ผลพวงความเสียหาย ที่ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นแล้ว

บางสำนักคาดการณ์ว่า หากระลอก 2 ลุกลามทั่วประเทศ ยืดเยื้อ 1 เดือน จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ อย่างต่ำ 2 แสนล้านบาท หรือ 1.5% ของจีดีพี

ขณะที่วิกฤตจากพิษระบาดรอบแรก ยังไม่สามารถแก้ไข ฟื้นฟู กู้กลับคืนได้

ที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือ การแก้ปัญหาผลพวง-พิษร้ายนี้

ฝากผีฝากไข้รัฐบาลได้หรือไม่ หรือได้แค่นี้จริงๆ

เนื่องจากจนถึงขณะนี้ไม่มีไอเดียใหม่ นวัตกรรม พลิกฟื้นประเทศที่เป็นความหวัง

ทุกวันนี้ดูเหมือน รอวัคซีน รอเปิดประเทศ รอเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทำงานอย่างเดียว

ไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมรองรับการขับเคลื่อนประเทศอย่างเป็นระบบ

รองรับการเปลี่ยนแปลง โลกหลัง ‘โควิด’

ขาลง ลงเร็ว ลึกกว่าชาติอื่น ขาขึ้น ฟื้นช้า โตแคระกว่าประเทศไหนๆ

เหมือนจะพอใจ หยุดอยู่แค่นี้

จำลอง ดอกปิก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image