ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ไม่ไหวก็อย่าฝืน โดย นฤตย์ เสกธีระ [email protected]
เห็นอาการถูลู่ถูกังทางการเมืองแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน
เริ่มต้นจากรัฐบาลเจอมรสุมทั่วสารทิศจนเมาหมัด ทั้งโควิด เศรษฐกิจ และการต่อรอง
ขยายผลกลายเป็นปัญหาการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ
กระทั่งพรรคแตก ส.ส. 21 คนต้องพ้นจากพรรคพลังประชารัฐเนื่องจากที่ประชุมมีมติขับ
ตอนนี้รอฟัง กกต.พิจารณาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ว่าจะเห็นว่ามติดังกล่าวถูกหรือผิด
ล่าสุด นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. บอกให้จับตา
หากมติดังกล่าวไร้ผล ไม่สามารถขับ 21 ส.ส.ได้ น่าสนใจว่า 18 ส.ส.ที่ไปสมัครเข้าพรรคเศรษฐกิจไทยแล้วนั้นจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่
จะมีผลต่อสถานภาพ ส.ส.ของแต่ละคนหรือเปล่า
คงต้องรอวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้
สำหรับเหตุการณ์หลังจากพรรคพลังประชารัฐขับ 21 ส.ส.พ้นพรรค เสียงฝั่งรัฐบาลลดฮวบ
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เกิดเหตุสภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า
หากรวมสถิติสภาล่มจนถึงเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พบว่าล่มแล้ว 16 ครั้ง
ทำลายประวัติศาสตร์สภา
นอกจากนี้ ยังพบว่าฟากฝั่งฝ่ายค้านก็มีความเห็นไม่ตรงกัน มีรอยร้าวที่เกิดจากการประสานงาน
ทำให้การเช็กความพร้อม ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลด้วยการ “แสดงตน” กลายเป็นประเด็น
มิใช่ประเด็นที่ทำให้รัฐบาลถูกตำหนิเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ฝ่ายค้านเองก็ถูกตั้งคำถาม
คำถามที่เกี่ยวข้อง “ส่วนตน-ส่วนรวม”
สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ หากมองในภาพรวม คงเห็นแล้วว่า รัฐบาลไปได้ไม่ไกล สภามีอุปสรรคในการก้าวย่าง
ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐบาลคิดเห็นเป็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
จะปล่อยให้รัฐบาลและรัฐสภาเป็นแบบนี้ไปจนครบเทอมหรือเปล่า
อย่าลืมว่า ห้วงเวลานี้มีความสำคัญต่ออนาคตประเทศ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกกำลังถึงจุดสิ้นสุด
คาดว่ากลางปี 2565 ทุกอย่างจะคลี่คลาย
ทุกชาติจำเป็นต้องมีความพร้อมในการขับเคลื่อน
การขับเคลื่อนประเทศ จำเป็นต้องมีทิศทางชัดเจน มีความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นพลังหนุน
แต่ดูสภาพรัฐบาลและรัฐสภายามนี้ แค่ประคับประคองไปเป็นวันๆ
มองเห็นความอ่อนล้าเกิดขึ้น
วันก่อนภาคเอกชนส่องกล้องมองวิกฤตที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข
บอกว่า มี 3 วิกฤต ประกอบด้วย เงินเฟ้อ โรคระบาด และของแพง
วิกฤตทั้งสามจะหมดไปได้ ต้องอาศัยรัฐบาลและรัฐสภาใช้กลไกต่างๆ ในการแก้ไข
แต่เท่าที่สดับฟัง ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลและรัฐสภาจะสามารถแก้วิกฤต หรือจะกลายเป็นวิกฤตเสียเอง
ดังนั้น รัฐบาลและรัฐสภา หากมองรอบด้านแล้วสรุปว่าไปต่อไม่ได้ น่าจะหันกลับมาคิด
เร่งผลักดันกฎหมายลูก 2 ฉบับให้ประกาศใช้ แล้วตระเตรียมเลือกตั้งทั่วไป
เริ่มต้นกันใหม่ เพื่อให้ประเทศเดินต่อไป
ส่วนผู้นำประเทศจะเป็นใคร ต้องไว้ใจประชาชน
แม้กฎระเบียบตามรัฐธรรมนูญ ยังให้อำนาจ ส.ว.ยังโหวตเลือกนายกฯได้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบ
แต่การเริ่มต้นใหม่น่าจะดีกว่าปล่อยให้กลไกต่างๆ ตกอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย”
การได้เริ่มต้นใหม่ เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยคลี่คลายปัญหา
การเริ่มต้นใหม่ทำให้ทุกพรรคมีโอกาสพูดกับประชาชนอีกครั้ง เพื่อบอกกล่าวว่าจะนำประเทศไปทางไหน
การเริ่มต้นใหม่ ช่วยทำให้ประชาชนมีความหวัง
หวังที่จะเลือกคนที่ตัวเองเห็นว่าสามารถเข้ามาแก้ปัญหาให้พวกเขาได้
บางที การเริ่มต้นใหม่อาจดีต่อประเทศมากกว่าก็ได้ ลองตรองดู