ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
การ “เล่นการเมือง” “คุยการเมือง” หรือ “ทำงานการเมือง” บน “โต๊ะอาหาร” นั้น ถือเป็นเรื่องที่ทำกันในทุกฝ่าย ตั้งแต่ “สโมสรราชพฤกษ์” ไปจนถึง “สิงคโปร์”
โดยวางอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ซึ่งมีอยู่ว่า “การเมือง” คือ การเจรจา พูดคุย ต่อรอง เพื่อนำไปสู่การแบ่งปันจัดสรรอำนาจ
ในระดับกว้างขวางสุด การเจรจา-ต่อรองทางการเมือง ได้เกิดขึ้นผ่านการลงคะแนนเสียงของประชาชนในคูหาเลือกตั้ง ตลอดจนการมีปฏิกิริยาหรือการแสดงความเห็นในประเด็นสาธารณะต่างๆ ของสาธารณชน (ซึ่งปัจจุบันสามารถวัดได้ชัด-ดูได้เร็ว จากโซเชียลมีเดียหลากหลายแขนง)
การเจรจา-ต่อรองทางการเมืองในระดับที่แคบลงมา แต่เป็นทางการและนำไปสู่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติมากกว่า ก็จะเกิดขึ้นในการประชุมสภา-ประชุมคณะกรรมาธิการ การประชุมคณะรัฐมนตรี ไปจนถึงการประชุมของกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานราชการ-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ
สุดท้าย การเจรจา-ต่อรองทางการเมืองในวงเล็กที่สุด แต่อาจเกี่ยวพันกับการตัดสินใจในระดับลึกที่สุด (จะเป็น “ดีลลับ” หรือไม่คืออีกประเด็นหนึ่ง) ก็มักเกิดขึ้นในวงรับประทานอาหารระหว่างผู้นำ-ชนชั้นนำ
ด้วยเหตุนี้ การ “พูดคุยการเมือง” บนโต๊ะอาหาร จึงมิใช่เรื่องผิดแผกแปลกประหลาดและไม่ใช่เรื่องผิด
ทว่า ขณะเดียวกัน นี่ก็ไม่ใช่ “ทั้งหมด” ของ “การทำงานการเมือง” ด้วย
เพราะไม่อาจปฏิเสธว่า การพูดคุย-ต่อรองในวงเล็กๆ กันได้ “รู้เรื่อง” หรือเสมือนจะ “ลงตัว” นั้นยังรายล้อมด้วยปัจจัยทางการเมืองประการอื่นๆ ภายนอกห้องรับประทานอาหาร
ณ ศูนย์กลางจักรวาลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ประเด็นสำคัญของ “การเมืองบนโต๊ะอาหาร” อาจอยู่ที่เรื่องบรรดาท่านผู้นำกินอาหารเมนูอะไรกันบ้าง? ใครเป็นคนทำ? พวกเขาสามารถเคลียร์ใจกันได้มากน้อยแค่ไหน?
แต่ในพื้นที่อันลดหลั่นลงไปจนถึงตีนเขา ชาวบ้าน-คนหาเช้ากินค่ำส่วนใหญ่ของประเทศนี้ กลับยังต้องผจญกับปัญหาข้าวของแพง น้ำมันขึ้นราคา เศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพพุ่งสูง ส่วนรายได้เท่าเดิม หลังจากต้องอดทนกับภาวะ “โควิดระบาด” มาร่วมสองปี
ท่ามกลางความย้อนแย้งเช่นนี้ “วาทะ” ที่ “ไร้ศาสตร์และศิลป์” ของผู้มีอำนาจหรือรัฐมนตรีในรัฐบาล กลับถูกสื่อสารไปสู่สาธารณชนรอบแล้วรอบเล่า
จนถึงตัวอย่างล่าสุด เช่น การแนะนำให้ใช้ “มะขามเปียก-มะม่วง” แทน “มะนาว” หรือการสั่งสอนให้ประชาชนใช้บริการ “ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ” แทน “รถยนต์ส่วนตัว”
นับเป็นเรื่องตลกร้าย ที่ในวงรับประทานอาหารเล็กๆ ของผู้นำไม่กี่คน นั้นคล้ายจะดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น
ทว่า นอกวงกินข้าวของชนชั้นนำ การสื่อสารการเมืองในทำนอง “ไม่มีขนมปังกิน ก็ไปกินเค้กสิ” ดันถูกเน้นย้ำออกมาเป็นระยะๆ
เป็นการเน้นย้ำให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำ และปลุกปั่นให้ประชาชนผู้ด้อยอำนาจ-เข้าไม่ถึงทรัพยากร สั่งสมอารมณ์ความรู้สึกเดือดดาล โดยที่ผู้พูดอาจไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ วงกินข้าวใดๆ ก็ตาม ยังสะท้อนสัจธรรมสำคัญอีกข้อหนึ่ง นั่นคือ “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา”
ในกรณีของวงรับประทานระหว่างแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลักๆ ณ สโมสรราชพฤกษ์ ใครๆ ต่างก็รับรู้ว่านี่เป็น “งานเลี้ยง” ที่เดินทางมาไกลมากจากจุดเริ่มต้น และดูจะเป็น “งานอำลา” เพื่อนับถอยหลังไปพร้อมๆ กัน
ขึ้นอยู่กับว่า “งานเลี้ยงวงนี้” จะจบและเลิกรากันอย่างไรเท่านั้นเอง?
จะเป็นการสรุปจบเพื่อจับมือกันต่ออีกสมัย?
จะเป็นการแยกย้ายกันไปจับขั้วและหาหลักยึดหลักใหม่?
หรือจะเป็นการพยายามลงจาก “หลังเสือ” และเป็นบทอวสานของบางกลุ่ม-บางคน
ชะตากรรมทั้งหมดนี้ ไม่ได้ถูกกำหนดเกมโดยคนหยิบมือเดียวรอบวงรับประทานอาหารที่มี “3 ป.” เป็นแกนกลาง
แต่ยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนอีกมากมายหลายล้านรายที่ไม่ได้เข้าไปร่วมกินข้าวเย็นมื้อนั้น