ผู้เขียน | พันธศักดิ์ รักพงษ์ |
---|
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาข่าวสารของประเทศเราเกาะติดรายงานเหตุการณ์ช่วย 13 ชีวิตหมูป่าติดถ้ำ ถือเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายจากแรงกดดันการเมืองและเศรษฐกิจ ที่รุมเร้าถาโถมเข้าใส่แบบตั้งตัวไม่ติด หลังจากนี้ชีวิตกลับคืนสู่โหมดความจริง ปัญหาการเมืองที่เผ็ดร้อน ปมเศรษฐกิจที่เป็นจุดเปราะบาง
เปรียบเสมือนนักมวยที่ถูกคู่ต่อสู้ต่อยหน้าหรือลำตัวต้องออกอาการทุกทีไป
โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่วลี “รวยกระจุก จนกระจาย” คอยทิ่มแทงรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะพยายามใช้ตัวเลขชี้ ภาพรวมของประเทศดีขึ้น โดยเน้นย้ำตัวเลขจีดีพีของประเทศที่โตขึ้น
หาก “บิ๊กตู่” ยังติดกับดักตัวเลข มองจีดีพีเพื่อโชว์ความสำเร็จในการแก้ปัญหา ต้องลองไปอ่านปาฐกถาฉบับเต็มของ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในวาระ 45 ปี 14 ตุลาคม หัวข้อ “ประชาธิปไตยกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” อาจเข้าถึงแก่นการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง
ผมขอยกบางช่วงบางตอนมาฉายภาพซ้ำ โดยอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติจับอาการของประเทศไทยเหมือน “ผู้ป่วยเรื้อรัง” ที่รัฐบาลพยายามจ่ายยาหลายขนาน แต่อาการกลับไม่ตอบสนอง เหมือน “ระเบิดเวลา” พร้อมจะเหนี่ยวรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจได้ทุกเมื่อ
ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตัวเลขและผลการศึกษาหลายหน่วยงานชี้ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำในระดับต้นๆ ของโลก
คนไทย 10% หรือประมาณ 7 ล้านคน มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน
คนไทย 10% ที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุด มีรายได้ห่างกันถึง 22 เท่า
คนไทยมากกว่า 75% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ขณะที่โฉนดกว่า 61% อยู่ในมือคนแค่เพียง 10%
เด็กไทยกว่า 6 แสนคน ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา เพียงเพราะผู้ปกครองไม่มีเวลาหรือเงินไม่พอส่งลูกเรียน ทั้งที่เด็กมีศักยภาพไม่ด้อยกว่าใคร ตัวอย่างนี้สะท้อน “ทุนชีวิต” ที่คนไทยมีไม่เท่ากัน
“ประสาร” มองว่า ปัญหามาจากทิศทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นปริมาณอย่างหยาบๆ ที่เน้นแค่จีดีพีโตปีละมากๆ โดยไม่ดูคุณภาพ อีกด้านหนึ่ง “การค้าเสรี” ที่ไร้กติกา ที่แต่ละคนมี “ทุน” และ “โอกาส” ไม่เท่ากัน ทำให้การพัฒนาออกมาในลักษณะ “เศรษฐกิจยิ่งโต ผู้มีทุนมากกว่าก็ยิ่งได้เปรียบ” คล้ายกับ “ถนนการค้า” ที่ขาดกฎจราจร สุดท้ายพื้นผิวถนนถูกยึดครองโดยรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่คอยเบียดรถขนาดเล็กหรือมอเตอร์ไซค์ให้ต้องวิ่งตามไหล่ทาง โดยพาหนะเหล่านี้พร้อมจะตก “ขอบ” ถนนได้ตลอดเวลา
ปัญหาหนึ่ง คือ กลไกและบทบาทภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยน เพราะภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย กฎหมาย กฎเกณฑ์ และกติกา ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจและระบบนิเวศที่เอื้อให้ระบบเศรษฐกิจพัฒนา
ดังนั้น ต้องกำหนดทิศทางสำคัญใน 4 มิติ คือ 1.การกระจาย
อำนาจให้ท้องถิ่นตัดสินใจมากขึ้น อำนาจการตัดสินใจยังรวมศูนย์ที่ส่วนกลางทำให้การแก้ปัญหามักมีสูตรเดียว ยากที่จะตอบโจทย์ท้องถิ่นที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันได้อย่างตรงจุด 2.ภาครัฐจำเป็นต้องคำนึงถึง “ประสิทธิภาพ” และ “ความยั่งยืน” มากขึ้น โดยเรื่องที่สำคัญคือ การปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจให้ทันสมัย ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
3.ความโปร่งใส ภาครัฐจำเป็นต้องโปร่งใสและมีการตรวจสอบจากภาคประชาชนได้ จะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชั่นที่เป็น “ต้นทุนแฝง” ของภาคเอกชนได้ และ 4.การสร้างความร่วมมือ ในโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น ปัญหาหรือโจทย์ของประเทศหลายเรื่องยากขึ้น ภาครัฐต้องสร้างความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้นในทุกมิติ ทั้งในระหว่างส่วนราชการ ภาคเอกชน และระหว่างประเทศ
พร้อมยกตัวอย่างที่ทันเหตุการณ์คือการช่วยชีวิตทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี่ 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภารกิจกู้ภัยในถ้ำที่ยากที่สุดในโลก แต่ด้วยการผนึกกำลังของผู้เชี่ยวชาญจากหลายศาสตร์และทักษะ ทั้งในและต่างประเทศ ก็ทำให้ภารกิจนี้สำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อ และปฏิบัติการครั้งนี้ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของโลก
นับเป็นปาฐกถาที่น่ารับฟังอีกชิ้นหนึ่งในปีนี้…