เดินหน้าชน : ศึกหนักรบ.ใหม่ : โดย สราวุฒิ สิงห์เอี่ยม

5 มิถุนายนนี้คงได้รู้กันว่า ชื่อ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกฯอีกครั้ง หรือจะมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” กลางสภา
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ นำรัฐนาวาคนใหม่ คงต้องปวดหัวกับการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี ทั้งในแต่ละพรรค และระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

แม้จะเคลียร์เก้าอี้กันได้ แต่ใช่ว่าจะจบแล้วจบเลย ไม่ใครก็ใคร ระหว่างบุคคล และปมขัดเคืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล คงมีบาดแผลเจ็บช้ำ เก็บไว้ในใจ รอชำระแค้นวันข้างหน้า

เอาเป็นว่าถึงจะได้รัฐนาวาใหม่ แต่ก็โคลงเคลงไปมา พร้อมจะจมได้ทุกเมื่อ หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่เป็นเอกภาพ

นอกจากศึกภายในแต่ละพรรคเอง ที่แบ่งกันเป็นกลุ่มก๊วนแย่งเก้าอี้กันในพรรค ยังมีศึกในระหว่างพรรคร่วมชิงรัฐมนตรีเกรดเอ

Advertisement

ยังไม่รวมศึกภายนอก จากพรรคฝ่ายค้าน ที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก นั่งชิลๆ รอจังหวะแซะให้ถูกที่ถูกเวลา รัฐบาลที่อยู่ในสภาพลอยคอ สำลักน้ำ พร้อมจะจมทันที

แต่ศึกนอกที่ใหญ่กว่านั้น จะมาจากประชาชน แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพร้อมรุมถล่มอยู่แล้ว ส่วนกลุ่มที่เชียร์รัฐบาล ก็ใช่ว่าจะเป็นแฟนพันธุ์แท้หลับหูหลับตาสนับสนุนอยู่ร่ำไป

โจทย์ใหญ่ที่จะทำให้ทั้งศึกใน-ศึกนอก ปะทุขึ้นมา นั่นคือภาวะเศรษฐกิจที่ส่อว่าจะทรุดตัวรอรับรัฐบาลใหม่

Advertisement

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ออกมาเผยตัวเลขจีดีพี ไตรมาสแรก ปี 2562 ขยายตัวเพียง 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโตแค่ 1% เทียบกับช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 นับเป็นการเติบโตต่ำสุดรอบ 17 ไตรมาส นับจากไตรมาสที่ 4 ปี 2557 หรือรอบ 4 ปี 3 เดือน

ขณะที่การส่งออกก็ติดลบ 3.6% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ทางสภาพัฒน์จึงปรับประมาณการจีดีพี ปี 2562 ใหม่ คาดว่าจะเติบโต 3.6% กรอบประมาณการ 3.3-3.8% จากเดิม 4% และการส่งออกคาดเติบโตได้ 2.2% จากเดิม 4.1%

ปัจจัยส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และผลกระทบชิ่งจากสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐกับจีน

มิหนำซ้ำช่วงรอยต่อรัฐบาลใหม่ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ที่ปกติจะต้องเริ่มเบิกใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ก็ต้องเลื่อนออกไปใช้ต้นปี 2563 โน่น

แม้งบประมาณรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะเงินเดือนข้าราชการทั้งหลาย ไม่ถึงกับต้องชัตดาวน์ เพราะสามารถเบิกใช้ได้ตามปกติ

แต่สำหรับงบลงทุน หากไม่ใช่โครงการเก่าที่ทำงบผูกพันไว้ ก็ไม่สามารถเบิกได้ นั่นหมายความว่าโครงการใหม่ๆ ต้องยื้อออกไป

ขณะที่สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้ ที่ไม่สามารถพึ่งพาการส่งออก ที่เป็นหัวจักรใหญ่ 60-70% ของจีดีพี ก็จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

แต่เมื่องบประมาณยังไม่มีใช้ จะเอาจากไหนมากระตุ้น คงต้องรอให้เศรษฐกิจฝืดยาวไปจนถึงต้นปีหน้า

ขนาดช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัวดี ยังมีเสียงบ่นกันทั้งบางว่าย่ำแย่ แล้วถ้าจีดีพีลดฮวบลงอย่างนี้ คงด่ากันย่อยยับ

แล้วจะด่าใคร ถ้าไม่ใช่รัฐบาล เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่ายค้านก็ได้โอกาสถล่มซ้ำว่าไร้ฝีมือ กลายเป็นรัฐบาลตี๋ใหญ่ ทำชาวบ้านเขาเดือดร้อน

จากศึกนอกก็จะลามมายังศึกในที่แค้นเคืองกันอยู่ ก็ได้ทีชำระแค้นทั้งในพรรคเดียวกันเอง และระหว่างพรรคร่วม จะโยนกันไปมา ไม่มีใครรับผิดชอบ

แต่ไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่ เพราะด้วยเสียงพรรคร่วมรัฐบาลในสภาเกินกึ่งหนึ่งไม่กี่คน เสียงของวุฒิสภาก็ช่วยไม่ได้

ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย อาจคว่ำกลางสภาเสียก่อนก็ได้ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจให้แย่ลงไปอีก

หากเป็นเช่นนั้น นายกฯ คงไม่รับผิดชอบด้วยการลาออก แต่จะยุบสภา ให้เลือกตั้งกันใหม่มากกว่า

หลังไม่ได้เลือกตั้งมากว่า 7 ปี พอได้เลือกตั้งทีก็ถี่ปีละครั้ง ซะงั้น

สราวุฒิ สิงห์เอี่ยม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image