ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาทันที ราวกับไฟลามทุ่ง
ข้อกล่าวหารัฐบาล “ขายชาติ-ขายแผ่นดิน” ถูกประเคนใส่อย่างไม่ยั้งจากหลายฝ่าย
เขย่าเสถียรภาพรัฐบาลผสมที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำให้ “สั่นคลอน” และ “ง่อนแง่น”
หากรัฐบาลยังชะล่าใจ “นิ่ง” และ “ดูดาย” ต่อกระแสต่อต้านอาจเข้าตำรา “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”
แม้รัฐบาลโดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงอ้างเหตุผลในการมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. …
แต่กลับตาลปัตรเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ จนเกิดกระแสร้อนแรงดังสนั่นไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ดูเหมือนจะมีคน “เห็นด้วย” น้อยกว่าคนที่ไม่เห็นด้วย เสียงต่อต้าน-คัดค้านดังขรมจากทุกสารทิศ
ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ ถึงกับประกาศว่าจะเข้าชื่อถวายฎีกา
รวมถึง “คู่หู-ดูโอ้” อดีตองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ก็แท็กทีมคัดค้านการขายที่ดินให้ต่างชาติ
ไม่ต้องพูดถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านที่พากันดาหน้าออกมาถล่ม พรรคเพื่อไทยถึงกับออกแถลงการณ์
ย้อนกลับไปดูเงื่อนไขที่ให้ต่างชาติได้สิทธิซื้อที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย 4 กลุ่ม
หนึ่ง ผู้มีความมั่งคั่งสูง หนึ่ง ผู้เกษียณอายุ หนึ่ง ทำงานในไทย และหนึ่ง ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
โดยต้องนำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในธุรกิจหรือกิจการตามที่ร่างกฎกระทรวงกำหนด และต้องคงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี จึงจะสามารถยื่นเรื่องขอใช้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่
ก็เป็นเงื่อนไขที่สร้างความ “แสลงใจ” ให้คนไทยอย่างยิ่ง!
และนี่เองคำว่า รัฐบาลประยุทธ์ขายชาติ-ขายแผ่นดินให้ต่างชาติดังกระหึ่มขึ้นทุกขณะ
แม้ว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมที่ดินจะเป็นต้นเรื่องของการเสนอเรื่องนี้ และเป็นไปตามมติ ครม. ที่เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทยตามที่สภาพัฒน์เสนอ
แต่เมื่อเป็นรัฐบาลผสมที่ประกอบไปด้วยพรรคการเมืองต่างๆ ก็ควรที่รัฐมนตรีของพรรคการเมืองจะออกมาชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นในฐานะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ควรยืนเด่นในการเปิดแถลงร่วมกับผู้บริหารกรมที่ดิน
เหนืออื่นใด คนนั่งหัวโต๊ะนายกฯมา 8 ปี ก็ควรออกมาแสดงความกล้าหาญให้สมกับเป็นชายชาติทหารที่ประกาศจะยอมตายเพื่อประเทศชาติ
แต่ไฉนจึงเงียบกริบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา?!
เพิ่งให้สัมภาษณ์สั้นๆ หลังประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า อยู่ในขั้นตอนกฤษฎีกา พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น ทุกอย่างชี้แจงได้
ขณะนี้ สภาเปิดสมัยประชุมแล้ว คงไม่สนุกนักหรอกที่รัฐบาลประยุทธ์เจอปฏิกิริยาต่อต้านด้วยข้อกล่าวหา “รัฐบาลขายชาติ รัฐบาลขายแผ่นดิน”
ก้างปลาชิ้นใหญ่ที่ตำคอหอย ทะลุเข้าไปถึงหลอดลมอย่าคิดว่า จะแก้ไขให้คนไข้รอดทุกราย
ฉันใดก็ตาม มติ ครม.ที่เห็นชอบร่างกฎกระทรวงนี้ ถ้ารัฐบาล “ดึงดัน” นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ อาจทำให้รัฐบาลไปไม่รอด
แต่ถ้ารัฐบาล “ยอมถอย-ถ่วงเวลา” ออกไป ไม่นำกฎกระทรวงไปประกาศในราชกิจจาฯ
และวันดี-คืนดีก็นำเรื่องนี้เข้า ครม.เพื่อยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง
ก็จะทำไงได้ล่ะ!
ดีกว่า “ดันทุรัง” ต่อไป ซึ่งสถานการณ์การคัดค้านกฎหมายขายชาติอาจ “บานปลาย” เกินกว่าจะควบคุมได้
ถึงตอนนั้น พรรคร่วมรัฐบาล…ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน!?!