เดินหน้าชน : ทำไม‘ไทย’ไร้เสน่ห์

ถ้าการรัฐประหารคือสูตรสำเร็จหรือคำตอบที่จะเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว     

เราคงต้องมาตั้งคำถามว่าทำไมวันนี้ประเทศยังย่ำอยู่กับที่ คนจนทั้งประเทศพุ่งทะยานไปเกือบ 20 ล้านคน

รู้หรือไม่ว่าในยุคหนึ่ง สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกฯ มีการพูดถึงวาทกรรมที่ว่า ไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย

ไล่ตามประเทศในเอเชีย 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เปรียบเปรยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเป็นการวิ่งของเสือ

Advertisement

ไทยคือประเทศที่ทุกคนคาดว่าจะเป็น เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เราก็ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ลูกเสือเศรษฐกิจ” ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน คือ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

หากย้อนอดีต ภายหลังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย จากนั้นประเทศนี้ก็อยู่ในวังวนการรัฐประหาร และยึดอำนาจโดยทหารมายาวนานกว่า 20-30 ปี

ณ วันนี้ มาเลเซียกำลังจะหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นบทเรียนสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยนำมาเทียบกับประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่พัฒนาควบคู่กันมา

Advertisement

มีการคาดการณ์กันว่าประเทศไทยจะต้องใช้เวลาอีกราว 20-30 ปีกว่าจะก้าวขึ้นสู่สถานะรายได้สูง เท่ากับว่าจะต้องใช้เวลารวมทั้งสิ้น 60 ปีเพื่อหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งถือว่าใช้เวลานานกว่าบรรดาประเทศร่ำรวยที่เคยพ้นจากฐานะรายได้ปานกลางสำเร็จมาก่อน

ขณะเดียวกัน มีการคาดกาณ์ว่าเวียดนามจะขึ้นเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงเหมือนไทยในปี 2023 ส่วนฟิลิปปินส์จะตามมาติดๆ ในปี 2025 ขณะที่ไทย น่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับรายได้เลย ยังคงเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงต่อไป

ที่น่าสนใจคืออินโดนีเซีย การประชุม จี20 ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้คนมองข้าม ครั้งสุดท้ายที่เศรษฐกิจและการเมืองของอินโดนีเซียอยู่ในความสนใจของชาวโลก คือช่วงความโกลาหลในทศวรรษ 1990 เมื่อระบบทุนนิยมแบบพวกพ้องล่มสลายท่ามกลางวิกฤตการเงินในเอเชีย ทำให้ระบอบเผด็จการที่ยาวนาน 32 ปีของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตล่มสลาย

25 ปีต่อมา อินโดนีเซียกลับมาเป็นประเทศที่มีความสำคัญอีกครั้ง เป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยมากเป็นอันดับสาม และเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 276 ล้านคน

ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจ อินโดนีเซียตอนนี้มีสถานะเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โดยพิจารณาจากจีดีพี และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตเร็วกว่าแถบเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีมูลค่าจีดีพีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์ ไม่รวมจีนและอินเดีย

วันนี้มีการประเมินว่าอินโดนีเซียอาจจะก้าวขึ้นไปเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย เพราะเป็นประเทศที่มีปริมาณนิกเกิลสำรองมากที่สุด 1 ใน 5 ของโลก ผสานกับการขานรับของบริษัทผลิตรถยนต์ที่กำลังจะยกเลิกการผลิตรถยนต์สันดาปในอีก 10 ปีข้างหน้าทำให้อินโดนีเซียกลายมาเป็นผู้เล่นที่สำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แทบจะทันที

อินโดนีเซียฉลาดที่จะใช้วิธีเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับตนเองโดยการห้ามส่งออกวัตถุดิบเพื่อบีบให้บริษัทระดับโลกจำเป็นต้องมาตั้งฐานการผลิตในอินโดนีเซีย นอกจากจะขายนิกเกิลได้แล้ว ยังสร้างงานให้กับคนในประเทศ ทำให้ในอนาคตจะได้เห็นการจ้างงานคนอินโดฯ ในบริษัทผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ของโลก นั่นเท่ากับว่าจีดีพีของอินโดฯ มีแนวโน้มจะโตขึ้นด้วยการที่ประชาชนมีค่าแรงที่สูงขึ้น

อีกเหตุผลเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจคือ อินโดนีเซียได้ค้นพบวิธีที่จะรวมเอาการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ากับการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยเน้นการประนีประนอมและความปรองดองทางสังคม

ในเวทีโลกอินโดนีเซียมีเสน่ห์ดึงดูดเม็ดเงินทุนจากทั้งจีนและอเมริกา หากสามารถประคองตัวเองให้อยู่บนเส้นทางนี้ต่อไปอีก 10 ปีนับจากนี้ ประเทศนี้อาจกลายเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก   

กลับมาที่ประเทศไทย KKP Research มีความกังวลเกี่ยวกับจีดีพีของไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2014-2021 ว่า อัตราการเติบโตจีดีพีเติบโตต่ำอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของภูมิภาคอาเซียน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นโยบายในประเทศของไทยพัฒนาช้ามาก พอเทียบกับนโยบายของประเทศอื่นๆ และสภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมหลายอย่างและทำให้ประเทศไทยไม่ใช่อันดับ 1 ของภูมิภาคอีกต่อไป

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ รายได้ต่อหัวของไทยเติบโตได้ช้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน หรือเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.4% ต่อปีเท่านั้นในช่วงปี 2014 -2021 ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เติบโตอย่างมาก

เกิดอะไรขึ้นกับไทยแลนด์แดนสวรรค์ จึงกลายเป็นประเทศที่ไร้เสน่ห์เช่นนี้

ผมว่าคนไทยทุกคนรู้คำตอบ อยู่ที่ว่าจะใช้สิทธิใช้เสียงเพื่อปลดแอกประเทศนี้จากระบบรวบอำนาจและรัฐราชการได้หรือยังก็เท่านั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image