เดินหน้าชน : ผู้กุมชะตาประเทศ

เดินหน้าชน : ผู้กุมชะตาประเทศ

8 ปีภายใต้การครอบงำของกองทัพ ชี้นำองคาพยพของประเทศ แต่สังคมไทยกลับเผชิญเหตุการณ์ที่สำคัญทางการเมืองอย่างหนักหน่วงและเข้มข้น อาทิ การเลือกตั้ง การแทรกแซงการเลือกตั้งโดยสถาบันต่างๆ การชุมนุมของกลุ่มเยาวชน การยุบพรรคการเมือง การสลายการชุมนุม การสลับขั้วของฝ่ายอนุรักษนิยม

ทำให้สังคมได้ตกผลึกความคิดทางการเมืองขึ้นผ่านข้อเรียกร้องที่ทะลุเพดานและขอบเขตทางการเมือง รวมทั้งการเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 ยิ่งทำให้ประชาชนเห็นได้ชัดว่าการดำเนินนโยบาย หรือไม่ดำเนินนโยบายของรัฐบาล มีผลโดยตรงต่อประชาชน

การเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ อาจเป็นบทพิสูจน์ว่าสังคมไทยได้เรียนรู้และตกตะกอนทางความคิดและต้องการนำอนาคตประเทศไปได้ไกลแค่ไหน

Advertisement

ในขณะที่ระบบคิดของคนในช่วงอายุต่างๆ นั้นย่อมแตกต่างกันภายใต้ประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงนั้นที่ตนเองต้องเผชิญ

มีข้อมูลที่น่าสนใจ เมื่อมีการจำแนกเสียงของผู้มีสิทธิ ในฐานะผู้กำหนดชะตาประเทศผ่านการเลือกตั้ง พบว่า คนในกลุ่ม Generation X, Y และ Z กุมสัดส่วนมากกว่า 70% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

“กนกรัตน์ เลิศชูสกุล” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า “ช่องว่างระหว่างวัย (generation gap)” จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ และยังมีงานวิจัยมองว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะเดินเข้าคูหาเลือกตั้งมากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน

Advertisement

“คนแต่ละรุ่นยืนอยู่บนชุดประสบการณ์ตัวเอง ประโยชน์เฉพาะหน้า และผลประโยชน์ในอนาคตที่เหมือนกันเลย”

กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (2489-2507) และกลุ่มไซเลนต์เจเนเรชั่น เป็น กลุ่มเดียวกัน เนื่องจากผ่านประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมคล้ายกัน โดยเฉพาะทัศนคติทางสังคมจะมีโน้มเอนไปทางกลุ่มอนุรักษนิยม แต่หากมาถึงทัศนคติทางด้านการเมืองก็จะมีความแตกต่างกัน คือ จะพบว่ากลุ่มที่มีความคิดไปทางกลุ่มคนเสื้อแดง หรือในทางประชาธิปไตย และมีอีกกลุ่มที่มีทัศนคติทางการเมืองไปในทางอนุรักษนิยม จึงทำให้พฤติกรรมการเลือกพรรคที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว

“หากพิจารณาจากปูมหลังหรือชุดความคิด ประสบการณ์ที่เขามีที่ผ่านมา การประสบความสำเร็จของประเทศมาจากระบบราชการในอดีต ที่ต้องเคารพความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ได้ทำให้เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ในยุคนั้น นี่เป็นวิธีเชื่อของคนในกลุ่มนี้”

ส่วนแง่คิดคนกลุ่มนี้จะคิดเพียงการเพิ่มประสิทธิภาพในสายพานการผลิต จึงไม่เห็นความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบที่ดีอยู่แล้ว

กลุ่มคนเจเนเรชั่น X (2508-2523) และ Y ตอนบน (2524-2539) มีความคล้ายกัน เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด เป็นกลุ่ม swing voters เนื่องจากอาจจะมาจากมีความสนใจทางการเมืองน้อยกว่ากลุ่มอื่น

เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เติบโตระหว่างที่ประเทศกำลังมีประชาธิปไตยเต็มใบ ในยุคที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพและปัจจัยทางการเมืองไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในช่วงเศรษฐกิจกำลังดี ซึ่งมีแนวโน้มในทางอนุรักษนิยม

“คนกลุ่มนี้เจอกับทั้งประชาธิปไตยที่ไม่มีเสถียรภาพและไม่มีประสิทธิภาพในช่วงทศวรรษ 1990 และเคยเจอกับประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ มีประสิทธิภาพแต่ก็เต็มไปด้วยปัญหาในช่วงสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร ส่วนตอนนี้ก็ได้เห็นเผด็จการภายใต้รัฐบาลทหารและการเลือกตั้งที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ตลอด 8 ปี ทำให้ทัศนคติทางการเมืองค่อนข้างแบ่งแยกเป็นกลุ่มย่อย แต่ก็ยังมีพฤติกรรมการเลือกพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แตกต่างจากกลุ่มเบบี้บูมเมอร์”

ข้อมูลของ “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า ในระนาบกลุ่มเจเนเรชั่น Y และ X ยังมีแนวความคิดที่แบ่งออกเป็นสองฝ่ายระหว่างกลุ่มเสรีนิยมและอนุรักษนิยม แต่จะแตกต่างกันที่สัดส่วน

“ในกลุ่มคนเจเนเรชั่น Y จะมีแนวโน้มเป็นเสรีนิยมราว 70% และมีบางส่วนหรือราว 30% เป็นอนุรักษนิยม ส่วนในกลุ่มเจเนเรชั่น X มองว่าครึ่งๆ ระหว่างกลุ่มเสรีนิยมกับกลุ่มอนุรักษนิยม”

กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มอัลฟา, Z และกลุ่ม Y ตอนต้น โดยรวมเป็นกลุ่มที่มีเด็กจนถึงอายุ 30 ปีตอนต้น โดยทัศนคติทางการเมืองแนวโน้มไปทางเสรีนิยมมากกว่าอนุรักษนิยม แต่ในทางสังคมเป็นในทางเสรีนิยมเกือบทั้งหมด โดยกลุ่มนี้เติบโตมาท่ามกลางความวุ่นวายและความขัดแย้งทางการเมือง

“กลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในช่วงที่ประเทศมีประชาธิปไตยที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู หรือช่วงประชาธิปไตยแบบไร้เสถียรภาพในอดีต แต่กลับต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อฝ่ายอนุรักษนิยมมีอำนาจมากขึ้น เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง 8 ปี จึงต้องการเห็นประเทศเคลื่อนไปข้างหน้าสู่ความเป็นสังคมประชาธิปไตย”

กลุ่มที่มีสิทธิเลือกตั้งอายุระหว่าง 18-25 ปี ซึ่งในจำนวนนั้นครึ่งหนึ่ง (18-22 ปี) เป็นกลุ่มผู้เลือกตั้งครั้งแรกจะคาดเดารูปแบบการเลือกตั้งได้ยาก อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะเน้นไปทางเสรีนิยมมากกว่า

14 พฤษภาคม จะได้เห็นผลลัพธ์ว่าคนเจเนเรชั่นจะนำพาประเทศก้าวเดินไปไกลกว่า 8 ปีที่ผ่านมา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image