เดินหน้าชน : พิสูจน์ฝีมือ

การบ้าน‘เศรษฐา’ แก้สารพัดปัญหา-ฟื้นฟูปท.

เดินหน้าชน : พิสูจน์ฝีมือ

นับเป็นความท้าทายของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของ

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เข้ามารับไม้ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ขับเคลื่อนประเทศต่อจากนี้ไป

โดยเฉพาะการเข้ามาเดินหน้านโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ที่ถือว่าไม่ง่าย แม้ว่ารัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะดูแลกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงการคลังที่ “เศรษฐา” ควบเก้าอี้นี้เอง และกระทรวงพาณิชย์ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และยังมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม

Advertisement

ต้องยอมรับว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวเลขการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของไทย จีดีพีอยู่ในระดับที่ต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยปี 2564 จีดีพี 1.6% ก่อนที่จะขยับมาอยู่ที่ 2.6% ในปี 2565 แต่ก็ยังต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ 3.5-4.5%

ส่วนจีดีพีปี 2566 ล่าสุดไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 1.8% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะโต 3% และชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสที่ 1/2566 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้ 2.2% เท่านั้นเป็นผลมาจากการส่งออกไตรมาส 2 หดตัวถึง 5.7% เป็นตัวเลขที่ติดลบติดต่อกันมาราว 6-7 เดือน

ขณะที่ประชาชนต้องแบกรับสภาพค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งจากค่าไฟ ค่าน้ำมันแพง สวนทางกับค่าแรงที่ไม่ได้ปรับเพิ่ม

Advertisement

เรื่องนี้จึงเป็นโจทย์เร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล

จึงไม่แปลกใจที่นายกฯเศรษฐา เริ่มเดินสายพบปะพูดคุยรับฟังปัญหาจากภาคธุรกิจ เกษตรกร ประชาชน ทั้งในพื้นที่ภูเก็ต พังงา สมุทรสาคร

และล่าสุดได้ออกมาประกาศจะตระเตรียมลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ในการประชุม ครม.นัดแรกนี้

ต้องติดตามว่าจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะที่ผ่านมาใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาอุ้มราคาน้ำมันไม่ให้สูงจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบหลายหมื่นล้านบาท

เหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ครั้งคราวเท่านั้น แต่ในระยะยาวจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น อยู่ที่ 12.9 ล้านล้านบาท แนวโน้มของหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น ช่วงปี 2563-2565 หนี้เสียเพิ่มขึ้น 10.2% และมีสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมที่ 8.6% ในปี 2565

หากหนี้ส่วนนี้ยังเพิ่มสูงขึ้น แน่นอนย่อมส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอย่างที่มีความกังวลกัน

ความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนของรัฐบาลชุดใหม่น่าจะมีออกมาอีก หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 8 กันยายนนี้

แม้หลายนโยบายนายกฯเศรษฐา ได้ออกมาประกาศแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งการผลักดัน กระเป๋าเงินดิจิทัล คนละ 1 หมื่นบาท ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงสงกรานต์ปีหน้า

การประกาศพักหนี้เกษตรกรที่นายกฯระบุว่า “น่าจะเริ่มช่วงเดือนตุลาคม โดยอยู่ในช่วงพิจารณารายละเอียดว่าจะพักหนี้จำนวนเท่าไร นานเท่าไรและอย่างไร แต่จะมีการพักทั้งต้นและดอก หลักการคือต้องการให้พี่น้องเกษตรกรมีเวลาไปพื้นฟูตัวเอง ไปทำมาหากินโดยไม่ต้องพะวงกับเรื่องหนี้สิน จะได้มีขวัญและกำลังใจในการหารายได้ รวมทั้งการดูแลหนี้ของครู ตำรวจ และผู้ที่ประสบภัยพิบัติในช่วงโควิด-19 ด้วย”

แต่ก็ยังมีอีกหลายนโยบายด้านเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ภายในปี พ.ศ.2570 เงินเดือนคนจบปริญญาตรีเริ่มต้นที่ 25,000 บาทต่อเดือน ภายในปี พ.ศ.2570

สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่ท้าทาย และพิสูจน์ฝีมือ จะสามารถผลักดันให้สำเร็จได้หรือไม่ ภายใต้ข้อจำกัดหลายๆ เรื่อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image