มองตัวเองดีไหม ดูพฤติกรรมของไทย

มองตัวเองดีไหม ดูพฤติกรรมของไทย

 

มองตัวเองดีไหม

ดูพฤติกรรมของไทย

Advertisement

โลกยุคดิจิทัล สังคมมนุษย์ยุค 5จี การสื่อสารเร็วชั่ววินาทีเพียงแค่กดโทรศัพท์มือถือก็รู้เรื่องราว แต่ความเข้าใจในเนื้อหาชีวิตต่างกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ความหมายซ่อนเร้นพบยากยิ่งขึ้น หากมิได้มีคนหลักดีๆ มีความรู้ และละเอียดพอจะสังเกตเห็น เราอาจไม่ได้รู้ว่าต่างตกในหลุมพรางที่สร้างขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจ จากเจตนาดีประการหนึ่ง กลับส่งผลร้ายขึ้นมาได้หลายๆ ทาง

ดังเช่นที่ กล้า สมุทวณิช เขียนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในมติชนออนไลน์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา “จากคุณแวนถึงโบโบ้ กระแสสวนกระแสแห่งผลิตภาพนิยม” ที่เริ่มจากวาทกรรมการสร้างตัวของคนยุคนี้ “เกิดเป็นลูกคนรวย…” ไปสู่ภาระที่ปัจเจกชนผู้มีความพร้อมหลายๆ ด้าน เคี่ยวเข็ญตนเองเพื่อให้ได้ผลิตผล โดยละทิ้งโครงสร้างทางสังคมอันเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการไป ถ่างความเหลื่อมล้ำของชีวิต และขยายความเข้าใจผิดด้วยหลงประเด็นให้กว้างยิ่งขึ้นอีก

ขณะเดียวกันเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับตัวตน อารมณ์ ศักดิ์ศรี ที่ยังยึดติดกันเพราะเห็น “ธรรม” เรื่อง “อัตตา” ไม่ถ่องแท้ แม้พระพุทธให้หนทางไว้นานถึงสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ท่านพุทธทาสก็พยายามบอกให้ทิ้ง “ตัวกูของกู” มาอย่างหนักหนาแล้ว สาธุชนคนถือพุทธจำนวนมากก็ยังไม่ตระหนักถึงโทษของการยึดติดนั้น รบราฆ่าฟันกันด้วยโทสะอันเนื่องจากศักดิ์ศรีในแง่มุมที่หลงผิดกันมา

Advertisement

จึงต้องอ่านวิถีแห่งกลยุทธ์ “ศึกษา ‘หานซิ่น’ พลิกจุดอับเป็นชัยชนะ วิกฤตคือโอกาส” ของนักอ่านนักเขียนระดับบรม เสถียร จันทิมาธร ให้สาธุชนคนถือพุทธเห็นว่า การยอมคลานลอดหว่างขาอันธพาลนั้น มิได้เป็นการเสียหน้าตาเสียศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์ แต่เป็นการรู้ค่าพิมเสนที่ไม่แลกกับเกลือ เนื้อไม่แลกกับหนัง หรือไม่เอาทองไปลู่กระเบื้อง เป็นศักดิ์ศรีในมุมที่คนไม่ยอมจะเข้าใจ

ซึ่งในที่สุด หานซิ่นก็กลายเป็นคนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านไปพันปีคนยังจดจำ ขณะที่อันธพาลทั้งหลายเป็นเพียงตัวประกอบไร้ชื่อในเรื่องราว “โป้วอั้งเสาะ” กลับเป็นตัวละครสลักใจนักอ่านของ โกวเล้ง ขณะที่อันธพาลคอกม้าซึ่งรู้ตัวภายหลังว่ารอดตายมาฉิวเฉียดนั้น ไม่เป็นที่สนใจของผู้ใด

โลภะ โทสะ โมหะ พระท่านให้ทองมาใช้อยู่ทุกวัน แต่สาธุชนคนถือพุทธกลับวางทิ้งเป็นกระเบื้องไม่รู้จักใช้สอยกันไปหมดได้ ไม่น่าเชื่อ

● เรามีกระจกส่องตัวเองให้พิจาณาทบทวนดีด้อยเพื่อการปรับปรุงสมรรถนะความเป็นมนุษย์และการเข้าใจสังคมของตนมาแต่โบราณ เช่น “จดหมายเหตุลาลูแบร์” สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ในระบบการศึกษาที่ไม่เอาสาระตัวเอง หมกมุ่นแต่การนำเข้าจากภายนอกโดยไม่กลั่นกรอง จึงช่วยไม่ได้ที่คนทุกวันนี้เรียกหาความเป็นไทย ชนิดที่ไม่นึกไปเลยว่าตัวนั่นแหละเป็นฝ่ายทิ้งความเป็นไทยไปจนล่อนจ้อน

ทุกวันนี้ จึงยังไม่เข้าใจอยู่อีกว่า การขายการท่องเที่ยวนั้น คือกำลังแก้ผ้าขาย “กายภาพ” ทางภูมิศาสตร์ที่มีมาแต่อ้อนแต่ออก และขาย “วัฒนธรรม” ที่บรรพบุรุษสร้างสมวิถีชีวิตจิตใจเอาไว้ให้มาแต่โบราณนั่นเอง

“คนไทยใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน การต้อนรับขับสู้ที่คนไทยมอบแก่คนต่างถิ่นนั้น ไร้ซึ่งเจตนาร้าย และเปี่ยมไปด้วยเมตตาจิต คนไทยแทบจะไม่กังวลกับความยุ่งยากใด และใช้ชีวิตโดยประมาทด้วยความสุข”

นั่นคือความจากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ รูธ เบเนดิกต์ นักมานุษยวิทยาอเมริกันยุคบุกเบิกคนสำคัญ ซึ่งทำวิจัยสำคัญชิ้นนี้เพื่อสำนักงานข่าวสารสงครามรัฐบาลอเมริกัน ในฐานะส่วนหนึ่งของงานวิเคราะห์วิจัยประเทศศัตรู ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลายเป็นงานเขียนทางมานุษยวิทยาที่ศึกษาประเทศไทยอย่างเป็นระบบเล่มแรกในยุคใหม่ร่วมสมัย

นอกจากแสดงให้เห็นว่า วิธีคิดเป็นระบบของตะวันตก ก่อนจะดำเนินกิจกรรมกิจการสำคัญใดๆ ต่อไป ต้องมีงานศึกษาวิจัยรองรับแล้ว (เช่นเดียวกับญี่ปุ่นกว่าครึ่งศตวรรษก่อน ที่เจตนาเข้ามาลงทุนการค้าในไทย ได้ทำวิจัยแทบจะทุกแง่มุมของสังคมและชีวิตคนไทย เรียนภาษาไทย ก่อนนักธุรกิจจะนำบริษัทเข้ามา) ก็คืองานเขียนชิ้นนี้มิได้เป็นเพียงการวิเคราะห์ประเทศไทยในบริบททางวิชาการ แต่เป็นภาพสะท้อนมุมมองของสายตาฝรั่งในยุคสงครามโลก ที่มีต่อประเทศโลกที่ 3 เช่นประเทศไทย

วัฒนธรรมและพฤติกรรมของไทย Thai Culture and Behavior แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์ จึงน่าอ่านเพื่อมองตัวเองอย่างยิ่ง พิมพ์ใหม่ครั้งที่ 2 เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง เพื่อตอบสนองความสนใจที่ได้รับจากงานหนังสือต่างๆ

● และหลังจากยุคสงครามโลกครั้งหลัง ที่รัฐบาลอเมริกันมุ่งเข้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์นั้นเอง การเมืองไทยก็เข้าสู่ช่วงรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างเข้มข้น จนแผ่รากหยั่งลึกยากจะถอนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น ระหว่างปี 2490-2521 นั้นเอง จึงเป็นช่วงการเมืองที่ต้องศึกษา เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองครั้งสำคัญ และเป็นช่วงการขับเคี่ยว ผลัดแพ้ผลัดชนะ ระหว่างปีกซ้ายฝ่ายก้าวหน้า กับปีกขวาฝ่ายจารีตและอนุรักษนิยม โดยเฉพาะ 5 ปีระหว่าง 2516-2521 ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 ผ่าน 6 ตุลาคม 19 จนการรัฐประหารและการเลือกตั้งอีกหน การเมืองไทยท่ามกลางสถานการณ์การเมืองโลก เข้าสู่จุดตึงเครียด เกิดขบวนการการเมืองซึ่งมีอุดมการณ์ต่างกันชัดเจนขึ้น

ขวาพิฆาต(?)ซ้าย อนุรักษนิยมไทยบนทางสองแพร่งของการเมืองโลกยุคสงครามเย็น ของ ศิบดี นพประเสริฐ อาจารย์อักษรศาสตร์ ศิลปากร จึงให้ภาพช่วงเวลาที่ผู้นำประเทศ เทคโนแครต กองทัพไทย และกลุ่มขวาอนุรักษนิยม มีบทบาทอย่างยิ่งในการบริหารประเทศ ด้วยการนำขวาพิฆาตซ้ายที่กำลังเติบโตด้วยความคิดประชาธิปไตยแรงกล้า โดยก่อรูปขบวนการต่อต้าน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย กระทั่งนโยบายต่างประเทศที่หวังพึ่งพามหามิตรช่วยกำจัดซ้าย

จนมหามิตรถอยจากสงครามเวียดนาม ถูกขับไล่ให้ถอนฐานทัพในไทย ฝ่ายขวาไทยหันไปทิศทางใด ศึกษาได้ว่า ทำอย่างไรจึงยืดอำนาจมาได้ถึงวันนี้

● สงครามรัสเซีย ยูเครน ทำให้ยุโรปที่ตกกระไดพลอยโจนไปกับอเมริกันในการปิดล้อมรัสเซีย ต้องตกในภาวะทุกข์ลำเค็ญจากการระงับพลังงานที่ยุโรปต้องการจากรัสเซีย เป็นภาวะที่ยังดำเนินการต่อรองและเล่ห์กลทางการเมืองไปอย่างยืดเยื้อ แต่ก่อนที่สหภาพยุโรปจะเพลี่ยงพล้ำในวันนี้ ครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สภาพของยุโรปก็ไม่ได้ดีดังเจตนาของการร่วมกันเป็นสหภาพแต่อย่างใด

EURO ล่มสลาย เปิดโปงเบื้องลึกของวิกฤตยูโรโซน เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนหลายล้านชีวิตทั่วโลกของ แกวิน ฮิวอิทท์ แปลโดย รติพร ชัยปิยะพร กับ สฤณี อาชวานันทกุล คำนิยม เล่าเรื่องความฝันอันมีช่องโหว่ วิสัยทัศน์สูงสุดที่แปรเปลี่ยนเป็นอันตราย ที่นำยุโรปสู่วิกฤตครั้งใหญ่หลวงนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง วิกฤตซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงมาก่อน

ความฝันหลักของยุโรปหลังสงครามใหญ่คือการมีสกุลเงินร่วมกัน แต่การจับจ่ายจากเงินซึ่งได้มาง่ายดายแต่แรก กลับทำให้ยุโรปตกหลุมพรางตัวเอง ต้องเผชิญกับวิกฤตหนี้ที่กำลังคุกคามโครงการต่างๆ ของยุโรปทั้งหลายทั้งปวง

หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่รวมกันให้เห็นภาพใหญ่ จากเรื่องของคนธรรมดากับการเมืองระดับสูง คำสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับนำ คนใน คำบอกเล่าน่าตื่นเต้นจากการประชุมครั้งสำคัญๆ เกิดเป็นหนังสือที่เฉียบคม หลักแหลม จากนักหนังสือพิมพ์ที่โดดเด่น ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวอันแสนพิสดารว่ายุโรปมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร เรามาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร และจะไปทางไหนกันต่อ

อ่านความฝัน, ยุคเฟื่องฟู, เรากินเงินด้วยกัน, คืนที่พวกเขาเกือบสูญเสียยูโร, ความโกรธขึ้ง
ของกรีซและความขุ่นเคืองของเยอรมนี, แฝดคนละฝา, ไอร์แลนด์ นรกอยู่ที่ประตู, เงามืดของซิลวิโอ, ขัดขืน, การเปลี่ยนท่าทีของเฟราไลน์ ฯลฯ อ่านสนุกอย่างกับเรื่อง “แอ๊กชั่น” ทีเดียว
ก่อนกลับมาดูยุโรปวันนี้

● หนังสือสำหรับผู้ต้องการฝึกฝนตนเอง ควบคุมจิตใจมิให้วิ่งวุ่นอยู่กับมายา ไร้สาระต่างๆ ทบทวนการตั้งมั่นของสติอยู่ทุกขณะ เป็นหนังสือคำสอนลึกซึ้งอันเปี่ยมคุณค่า อธิบายให้เราเห็นธรรมชาติของจิตใจซึ่งอยู่เหนือความเข้าใจได้อย่างกระจ่าง ซกเซน คำสอนลับแห่งวัชรยาน วิถีธรรมสู่การรู้แจ้ง เขียนโดย เชอเกียล นัมไค นอร์บุ แปลโดย รุจิรา เจริญศักดิ์

ในสมัยโบราณ คำสอนซกเซนถูกสอนในทางลับ ถ่ายทอดเฉพาะศิษย์ความสามารถสูงไม่กี่คน เพราะการเข้าใจคำสอนซกเซนได้อย่างแท้จริง ต้องมีประสบการณ์การปฏิบัติ การได้อ่านคำบรรยายหรืออ่านหนังสือเล่มนี้ จึงเหมือนการได้เห็นภาพถ่ายของจุดหมายปลายทางที่ต่างพยายามไปให้ถึง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา เพื่อมีกำลังใจในการปฏิบัติ

และไม่เพียงอธิบายคำสอนซกเซน หนังสือเล่มนี้ยังอธิบายหลักการของพระสูตรและตันตระไว้ด้วย เพื่อช่วยให้เข้าใจภาพรวมของแต่ละมรรควิถี ที่ปฏิบัติในแต่ละนิกายได้ดียิ่งขึ้น-อ่านเพื่อความสว่าง ปลดเปลื้องความมืดในจิตใจ

● อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือสำหรับนักคิดจริงๆ เพราะตั้งแต่ชื่อเรื่องจนถึงเนื้อหาที่เจตนาจะห่างไกลการประยุกต์ใช้จริงนั้น ชวนให้อยากรู้ว่า ถ้าอย่างนั้นจะเรียนรู้หรือคิดไปทำไม หากแต่ว่า ผู้คนในสำนักคิดเหล่านี้มีสมาชิกตั้งแต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในยุคแรกๆ จึงยิ่งทำให้น่าสนใจว่า หนังสือเล่มนี้จะบอกอะไร

ประโยชน์ของความรู้ที่ไร้ประโยชน์ โดย เอบราฮัม เฟล็กซ์เนอร์ แปลโดย กิตติธัช สุมาลย์นพ ถ่ายทอดเนื้อหาของผู้เขียนซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของสถาบันการศึกษาชั้นสูงแห่งนี้ในเมืองพรินซ์ตัน นักวิชาการในสถาบันนี้ทำงานโดยมุ่งความสนใจไปยังความคิดที่ลึกซึ้งอย่างเต็มที่ และอยู่ห่างประเด็น “การประยุกต์ใช้จริง” อย่างมากที่สุด

เป็นการศึกษาความรู้ที่กว่าจะมองเห็นประโยชน์ได้ก็อาจใช้เวลาหลายทศวรรษ หรืออาจมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ-มีการเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ด้วย คงไม่ใช่เพราะว่างเกินไปนะ ต้องอ่านดู

เพราะประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของความรู้เหล่านี้ ก็อาจเกิดได้อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมายเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบัน มหาวิทยาลัยกับสถาบันวิจัยทั่วโลกกำลังทำสิ่งตรงข้ามกัน
สิ้นเชิงกับแนวคิดดังกล่าวอยู่-ความรู้ที่ไร้ประโยชน์ คืออะไรกันแน่

● หนังสือปกแข็งสันโค้งเรื่องที่ชวนสนใจกว่าของคนทั้งหลาย วิจิตรกามาในอารยธรรมจีน เรียบเรียงโดย บุญรส วงจตุรัสธรรม พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้วในปีนี้ เล่าเรื่องตำนาน ความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี อารยธรรมเก่าแก่ จากประวัติศาสตร์ล้ำค่าของชาวจีนโบราณ ด้วยเรื่องราวผ่านงานศิลป์

จากทรรศนะของชาวจีน “เพศรส” เป็นการผสมผสานชายหญิงให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อกำเนิดทายาทสืบวงศ์ตระกูล หากเพศรสมีดุลยภาพ ก็จะเกิดสมดุลของหยินหยาง เป็นหลักพื้นฐานการครองชีวิตและดำเนินชีวิตของชาวจีน

หนังสือเกือบ 400 หน้าเล่มนี้มีเพียง 3 บท ดำเนินเรื่องตั้งแต่ 1.อาณาจักรโบราณ-อาณาจักรซัง, ปลายราชวงศ์โจว, คัมภีร์อี้จิง ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ 2.การกำเนิดและพัฒนาการของกฎเกณฑ์เพศรสในจีน-ราชวงศ์ฉินและการก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น, ฮั่นตอนปลาย, สมัยสามก๊กและ 6 ราชวงศ์, ความรุ่งเรืองของอาณาจักร สุย ถัง และซ่ง 3.การปกครองของมองโกลและการฟื้นฟูของราชวงศ์หมิง-ราชวงศ์หยวน, ราชวงศ์หมิง

อ่านเพลิน ความรู้ และความเข้าใจเกิดขึ้นเพียบ

● การเมืองไทยกำลังเข้าไคล จากวาระครบ 8 ปีการเถลิงอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จนงานเหลือเพียงตำแหน่งรัฐมนตรีฯกลาโหม ระยะหัวเลี้ยวนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อ่านนิตยสารการเมืองเข้มข้นฉบับครอบครัว มติชนสุดสัปดาห์ ว่าด้วย “ป้อม ปึ๋ง ปั๋ง” ติดตามเส้นทางการเป็นอดีตนายกฯ กับการยื้ออำนาจ 8 ปี

ประยุทธ์จะกลับมาอย่างไร ดูการวางทายาท ตท.23 รับการเมืองร้อน

อ่านรายงานพิเศษ รัฐบาลไทยพ่วงกระแสไทยป๊อป โหนความสำเร็จลิซ่า แบล็กพิงก์ จากเวทีระดับโลก อ่านอาจารย์นิธิเขียน “กองทัพกับการเมืองไทย” ให้ซึ้งเสียที แล้วต่อด้วย 48 ปี “บ่าววี”
จะร้อยโท นักร้อง หรือนักธุรกิจ ก็ “ทรี อิน วัน” แล้วไปพบบะหมี่อริราชศัตรู รายงานจาก “ตั้งฮกกี่” บะหมี่รสชาติคนเท่ากัน

อย่าลืม ต้องสนใจอาชญากรรม การผ่าคดีขืนใจดาราสาว ที่หลานอดีต รมต. โต้ลั่น ว่าถูกใส่ร้าย แบล๊กเมล์ แต่ต้องนอนคุก ไม่ได้ประกัน และสุดท้ายประจำสัปดาห์ อย่าลืมเรื่องรัฐบุรุษผู้ยุติสงครามเย็น ทะลายสหภาพโชเวียตให้เหลือเพียงรัสเซีย “มิคาอิน กอร์บาชอฟ” วีรบุรุษที่ถูกลืม ผู้เพิ่งล่วงลับ

เกาะติดประเทศไทย ต้องไปกับมติชนสุดสัปดาห์

● ค่าน้ำมันขึ้น ค่าไฟขึ้น ค่าบะหมี่สำเร็จรูปขึ้น ค่าข้าวแกงก๋วยเตี๋ยวขึ้น ราคาชีวิตคนถูกลง ขอเวลาอีกไม่นาน เดี๋ยวก็เป็นคนจนติดโรคขาดอาหารกันหมด แม้ไม่ติดโควิด กลายเป็นประเทศที่พลเมืองถือบัตรคนจนแทนบัตรประชาชน

เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่นี่ ยกเว้นไทยด้วยกันใช่ไหม ที่ขี่กันได้

บรรณาลักษณ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image