ตู้หนังสือ : ราษฎรพลิกแผ่นดิน อ่านหนังสือรับปีใหม่ โดย บรรณาลักษณ์

พอจะขึ้นศักราชใหม่ หนังสือประเภทหนึ่งซึ่งบานสะพรั่งเต็มแผงก็คือ พยากรณ์ชะตาชีวิตปีหน้า ว่ากันแบบภาพรวมทั้งปี แจกแจงเป็นรายเดือน มีครบทั้งปีนักษัตรไทย นักษัตรจีน ปี 12 ราศี ครบ 7 วันเกิด ทั้งไพ่ฝรั่ง ทั้งดวงลัคนาเดือนเกิด ธาตุต่างๆ เลข 7 ตัว ฯลฯ ไม่ว่ามีกี่ประเภทพยากรณ์ทำนาย หนังสือบนแผงมีครบ ส่วนคลิปพยากรณ์ยิ่งไม่ต้องบอก อาจารย์หนุ่มอาจารย์สาวเปิดทู้ปกันเพียบ

ใกล้จะสิ้นปีนักษัตรวัวหรือปีฉลูเข้าทุกที ปีหน้าก็จะเป็นปีขาล ซึ่งคนเกิดปีขาล 2493 ก็จะครบ 6 รอบหรือ 72 ปี สำหรับคนที่เชื่อโหราศาสตร์หรือคุ้นเคยไปทางความเชื่อจีน ก็มักรู้จักคำว่า “ปีชง” (ออกสำเนียงตามภาษาแต้จิ๋วอันเป็นเสียงที่รู้จักกันจากชาวจีนหมู่มาก และใช้กันในราชการงานแปลไทยแต่แรก) ซึ่งเป็นปีที่อยู่ตรงข้ามกันเกิดปะทะกัน ทำให้เกิดเป็นปีเคราะห์ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปทุกๆ ปีนักษัตรตลอดรอบ 12 ปีที่หมุนวนไป

ปีชงหน้าซึ่งอยู่ตรงข้ามปีขาลก็คือปีวอก ที่เรียกว่าชงกันเต็มๆ คือต้องระวังเคราะห์ไม่ดี (จะไม่ดีอย่างไรนั้นก็ไม่รู้) ส่วนที่ร่วมชงกันแล้วเคราะห์น้อยหน่อยยังมีอีก 3 ปีคือ ปีขาลเองเรียกว่า “ปีคัก” กับปีมะเส็งที่เรียกว่า “ปีเฮ้ง” และปีกุนเรียกว่า “ปีผั่ว” จะเป็นเคราะห์ด้านสุขภาพด้านเงินด้านงานอย่างไร ก็ต้องระวังกันไป เพราะที่จริง ไม่ว่าจะชงไม่ชง เราก็ต้องระมัดระวังชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีกันอยู่แล้วในเรื่องประจำตัวเหล่านั้น

ที่ใช้คำว่าเคราะห์ เพราะทางภาษาแล้ว เคราะห์คือการรับ หรือยึด หรือจับเอา จึงใช้ได้ทั้งเคราะห์ดีและเคราะห์ร้าย แต่คำว่าเคราะห์มักใช้ไปทางร้ายเสียมาก เช่น เคราะห์ร้าย เคราะห์กรรม หรือบาปเคราะห์ เช่นเดียวกับคำว่าโชค ที่ใช้กันทั้งโชคดีและโชคร้าย ซึ่งน่าขำว่า การเจอเรื่องร้ายๆ จะว่าเป็นโชคได้อย่างไร ภาษาไทยเป็นภาษาปลาไหลหรือเปล่า ที่ดิ้นลื่นพลิกพลิ้วหลุดไหลไปได้เรื่อย หรือคำว่าโชคแต่แรกไม่ได้มีความหมายเช่นที่ใช้กันทางดีทุกวันนี้ เป็นคำร่วม “โชคเคราะห์” ในความหมายเดียวกัน ที่ต่อมาถูกใช้แยกต่างกันดังกล่าวมา

Advertisement

ดังนั้นจึงดูเป็นภาษาที่ใช้โดยไม่ต้องคิด หรืออาจคิดมากเผื่อทางหนีที่ไล่ไว้อย่างไรกันแน่ แต่ที่อยากระบุถามคือ เป็นภาษาซึ่งใช้ตามนิสัยคนมีอำนาจที่ถ่ายทอดมาหรือเปล่า อยากทำให้คนติดนิสัยไม่ทันคิด ชอบที่จะใช้ตามกันโดยไม่ต้องคิด เพราะสะดวกกับการอธิบายเอาตัวรอดได้หลายทางดี

เอะอะอะไรจึงต้องตีความคำพูดหรือตัวหนังสือกันเป็นประจำ เพราะเป็นภาษาการเมืองแบบมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ที่ใช้สีข้างเข้าถูเข้าแถกกันแดงเถือกไปได้เสมอ ทั้งเป็นภาษาสื่อสารที่เหมาะสำหรับบรรดาผู้ที่ต้องการจบเรื่องลงด้วยการวางมวยได้ดีเยี่ยม

ทีนี้เมื่อมีเคราะห์ ก็ต้องตามมาด้วยการสะเดาะเคราะห์ (แน่อยู่แล้ว) อย่างแรกตามแบบความเชื่อจีนคือต้องบูชา “ไท้ส่วยเอี้ย” ซึ่งผลัดกันมาให้คุณให้โทษมนุษย์ถึง 60 องค์ จากนั้นก็อาจเป็นการไถ่ชีวิตสัตว์ใหญ่สัตว์เล็ก ไหว้พระ 9 วัด จนถึงการบริจาคเลือดตามแต่ตำราหรือซินแสจะแนะนำ เพื่อบรรเทาเคราะห์

Advertisement

นี่ว่าตามเฉพาะที่เชื่อ แต่นั่นแหละ กระทั่งบรรดาซินแสเองก็ต้องกำชับไว้ว่า ฟ้าแนะนำ การกระทำอยู่ที่คน ดังนั้น ผู้บริจาคทานเป็นนิตย์ บริจาคเลือด ปล่อยนก ปล่อยปลา ไถ่ชีวิตโคกระบืออยู่สม่ำเสมอตามวาระสะดวก พยายามควบคุมราคะ โมหะ โลภะ และโทสะจริต มิให้พลุ่งพล่าน ย่อมไม่ต้องรอวันเกิดหรือปีชง ก็เชื่อมั่นวัตรปฏิบัติของคนได้ว่า จะเป็นโชคหรือเคราะห์ก็สามารถใช้สติรับมือได้

จึงขอคุณพระคุ้มครองให้โชคดี เคราะห์ดี ปีหน้าโดยทั่วถึงกันทุกคน เทอญ

• ส่วนชะตาเมืองไทยจะโชคดี โชคร้าย หรือเคราะห์ดี เคราะห์ร้าย อ่านหนังสือ 2475 ราษฎรพลิกแผ่นดิน หนังสือประวัติศาสตร์ความคิดปฏิวัติสยามที่อ่านสนุกสุดๆ น่าจะเป็นตำราแบบเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมด้วยซ้ำ ค้นคว้ามาเขียนโดย “อินเวสติเกทีฟ เจอนัลลิสต์” (investigative journalist) นริศ จรัสจรรยาวงศ์ ผู้ร่วมกับเพื่อน มาร์ติน ซีเกอร์ สหายทางธรรมชาวเยอรมัน ผู้ก่อตั้งไทยศึกษา มหาวิทยาลัยลีดส์ อังกฤษ ค้นพบว่าหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ผู้แต่งคือ คุณหญิงดำรงธรรมสาร (ใหญ่ วิเศษศิริ 2425-2487)

มิได้เป็นปุจฉาวิสัชนาธรรมระหว่างหลวงปู่ มั่น ภูริทตฺโต กับหลวงปู่ จูม พนฺธุโล เช่นที่เคยเข้าใจกันมาตลอด

คราวนี้ผู้เขียนก็ค้นคว้าอย่างมานะอีก จากฐานหนังสือที่ระลึกงานศพ หนังสืออนุสรณ์ บันทึกร่วมสมัยต่างๆ จนได้รายละเอียดมีชีวิตชีวาที่แตกต่างไป รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่ารู้ เจาะลึกรายละเอียดเหตุการณ์ กลายเป็นหนังสือเกี่ยวกับการพลิกแผ่นดินที่น่าทึ่งอีกเล่ม ทำให้เรื่องราวนี้เพิ่มแง่มุมที่สมบูรณ์ขึ้น

ตั้งแต่สุนทรพจน์ของ พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา, การกำเนิด ก่อการ และอวสานของคณะราษฎร, คณะราษฎรที่ปารีส, มุสลิมีนที่ร่วมก่อการ, สมาชิกคณะ, อนุสรณ์งานศพ, หลอมธรรมยุติกับมหานิกาย, มหาสังฆกรรมคณะราษฎร, พระยาพหลฯบวช, ดวงหน้าสุดท้ายและอนุสาวรีย์, ทิ้งชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

หนังสืออีกเล่มที่คนไทย นักเรียน นักศึกษาไทย ไม่น่าพลาด

• หนังสือที่เลาะการเมืองและการบ้านในประวัติศาสตร์ซึ่งไม่มีวันหลีกหนีพ้น แม้จะเกี่ยวดองหนองยุ่งกันอยู่ ระหว่างพระราชวงศ์กรุงธนบุรีกับพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งน่าทึ่งเมื่อปรากฏในกาลต่อมาว่า เกี่ยวพันสนิทสนมกันจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะบุคคลระดับเจ้านาย ที่อาจเป็นเรื่องน่ารู้ซึ่งคาดไม่ถึง

เลาะวัง : พระราชโอรสธิดาในพระราชวงศ์กรุงธนบุรี กับพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยนักเขียนศิลปินแห่งชาติ จุลลดา ภักดีภูมินทร์ (ม.ล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์ มหาวรรณ – สีฟ้า, ศรีฟ้า ลดาวัลย์) กับหนังสือหนา 800 กว่าหน้า

อ่านความเกี่ยวพันระหว่างเชื้อพระวงศ์ เรื่องการบ้านที่มีความหึงหวง ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะพระภรรยาเจ้า ความหวั่นไหว หวาดระแวงในหมู่เจ้าพี่เจ้าน้อง และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ กระทั่งถูกถอดถอน เนรเทศ หรือประหารชีวิต นับแต่รัชกาลที่ 1 ทรงปราบดาภิเษก ถึงเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนระบอบใหม่

ยังกล่าวถึงพระโอรสธิดาวังหน้า และวังหลังที่มีเพียงพระองค์เดียวอีกด้วย

• มีหนังสือเล่มหนึ่งหนาเพียง 200 กว่าหน้า ที่เหมาะกับคนในรัฐสภากับรัฐบาลหลายคนจะอ่าน จิตวิทยาเด็ก : ความรู้ฉบับพกพา ของสตรีนักวิจัยและศาสตราจารย์ทางประสาทวิทยาของเคมบริดจ์ วัย 61 ปี ผู้ได้รับรางวัลมากมายจากงานกับหนังสือซึ่งตีพิมพ์มาแล้วหลายเล่ม อูชา กอสวามิ ร่วมกันแปลโดย สุภลัคน์ ลวดลาย กับ วรัญญู กองชัยมงคล ให้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ

สมองทารกเรียนรู้ภาษาได้อย่างไร, คำถามแบบไหนกระตุ้นให้เด็กจำได้แม่นยำขึ้น, เหตุใดเด็ก 6 ขวบแก้ปัญหาบางอย่างดีกว่าผู้ใหญ่, ความมั่นคงของความผูกพันส่งผลอย่างไรต่อพัฒนาการเด็ก ฯลฯ

โลกจิตวิทยาเด็กคือแดนพิศวงที่ความเป็นไปได้ไร้ขอบเขต นี่คือกุญแจไขสู่โลกมหัศจรรย์ของทารกจนวัยรุ่นตอนต้น ไม่ว่าพัฒนาการทางกาย สติปัญญา พฤติกรรมทางสังคม ซับซ้อนถึงการรู้ภาษา การใช้เหตุผล หรือจริยธรรม

นี่คือคู่มือชั้นดีที่ผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กับความเข้าใจทางจิตวิทยาเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ช่วยกันประคองให้เด็กก้าวเดินบนเส้นทางพัฒนาการได้อย่างมั่นคง และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ มิใช่.. มิใช่อะไร… ที่ทำกัน

• เพื่อนบ้านพม่ากำลังตกในวังวนอันทารุณโหดร้ายอีกครั้ง ด้วยการที่กองทัพยึดอำนาจฆ่าฟันประชาชนผู้แสวงหนทางประชาธิปไตย ประชาชนมือเปล่าซึ่งประท้วงต่อต้านรัฐประหารด้วยสันติวิธี จนสุดท้ายต้องหาอาวุธสู้ ร่วมมือโต้กลับกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ถูกกดขี่มายาวนานตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ

ประเทศนี้จะมีอนาคตอย่างไร กลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนเชื้อสายต่างๆ จะมีวันได้ลืมตาอ้าปากในวิถีอารยะไหม ลองอ่านเรื่องราวและบทสัมภาษณ์นานาจากหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะคำนิยมจากอดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ สุรพงษ์ ชัยนาม ก็อาจเห็นเค้าโครงได้ ว่าเหนืออำนาจยังมีอำนาจที่ใหญ่หลวงกว่าอยู่อีก

“การต่อสู้ทางชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศใดก็ตาม จะเป็นการต่อสู้ที่ดำเนินไปในลักษณะคู่ขนานเสมอ คือเป็นการต่อสู้ด้านวัฒนธรรมเพื่อรักษาอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ ควบคู่กับการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองระดับท้องถิ่น

“นอกจากนั้น ทั้งบทความและบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ยังตอกย้ำให้เห็นได้อีกด้วยว่า การต่อสู้ของบรรดาชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นกลุ่มชนส่วนน้อย จะประสบผลตามความมุ่งหมายหรือไม่ มิได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของพลังการต่อสู้ของชาติพันธุ์ต่างๆ หากอยู่ที่พัฒนาการของการเมืองระหว่างประเทศ (ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก) ตลอดจนผลประโยชน์และท่าทีของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ (ทั้งในและนอกภูมิภาค) ที่ต่างมีส่วนได้ส่วนเสียกับประเทศที่ประสบปัญหาเรื่องนี้ (เช่นพม่า)

“ว่ามหาอำนาจเหล่านี้จะยอมให้ความสำคัญ กับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากกว่าเรื่องผลประโยชน์ด้านต่างๆ ของบรรดาประเทศมหาอำนาจที่มีในพม่าหรือไม่

“ซึ่งในประเด็นนี้ บทความและบทสัมภาษณ์ใน ‘ปลายขอบฟ้าฉาน’ ล้วนยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์ว่า การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ของพม่า ต่างก็เป็นเหยื่อเป็นเครื่องมือของการเมืองแห่งอำนาจ (power politics) ทั้งในพม่าในระดับภูมิภาคและระดับโลก”

ปลายขอบฟ้าฉาน จึงเป็นบันทึกการต่อสู้ทางการเมืองและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า ที่เราเพื่อนบ้านควรศึกษาเพื่อเข้าใจ เห็นภาพเต็มถ้วนทั่ว ซึ่งมีผู้เขียนคือ พลโท เจ้ายอดศึก กับ
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว และ นวลแก้ว บูรพวัฒน์ ช่วยกันประกอบเนื้อหาเกี่ยวข้องต่างๆ เข้ากันให้แจ่มชัด

น่าหาอ่าน

• นิยายแปลเล่มหนึ่งซึ่งเหมาะที่จะอ่านช่วงวันหยุด โดยเฉพาะในยามปัญหาไม่ควรเกิดกลับมาเกิดเช่นขณะนี้ ลุกขึ้นสู้ (เดอะ รีเบลเลียน ออฟ เดอะ แฮงก์ (The Rebellion of the Hanged – 2479) ของนักเขียนซึ่งได้ชื่อว่าลึกลับคนหนึ่ง เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อจริง ประวัติ ที่มาต่างๆ รู้แต่ว่าเป็นเยอรมันโปแลนด์ซึ่งมาอยู่เม็กซิโกเขียนหนังสือดังๆ จนเสียชีวิตในปี 2512 บี. ทราเวน

ถ้าจะมีนิยายสักเรื่องของเขาที่คนพอจำได้ ก็คือ เดอะ เทรเชอร์ ออฟ เซียรา มาเดร (The Treasure of the Sierra Madre) ซึ่งกลายเป็นหนังดังในชื่อเดียวกันเรื่องหนึ่งของผู้กำกับในตำนาน จอห์น ฮุสตัน ที่ได้พระเอกในตำนาน ฮัมฟรี โบการ์ท แสดงในปี 2491

นิยายลุกขึ้นสู้เล่มนี้ แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ทราเวนมีความสามารถและพรสวรรค์ในการเขียนนิยายการเมืองระดับแนวหน้า ที่ทุ่มเทชีวิตวิญญาณให้ความเป็นธรรม เรียกร้องให้แก้ไข ใช้กฎเกณฑ์สังคมอย่างยุติธรรม แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ขณะเดียวกัน ก็ถ่ายทอดความอ่อนโยนใสซื่อของจิตใจอินเดียนพื้นเมืองที่ถูกกระทำ โดยดำเนินเนื้อหาไปอย่างลึกซึ้งกินใจ

เรื่องเกิดในปางไม้มะฮอกกานีที่ใช้แรงงานทาสทางเขตร้อนของเม็กซิโก ช่วงปี 2413 (หลังรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ 2411 ด้วยพระชนมายุ 15 พรรษา) อันเป็นช่วงลุกฮือขึ้นก่อจลาจลต่อต้านอำนาจปกครองของเผด็จการ “ปอร์ฟิริโอ ดิอาซ” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มการปฏิวัติเม็กซิโก ที่บอกเล่าการทรมานทุกรูปแบบที่ชาวอินเดียนพื้นเมืองประสบ ความชิงชัง ความคับแค้น ซึ่งถูกกดขี่มายาวนานจนเกินทน ระเบิดขึ้นเป็นกบฏต่อนายงานและสมุนแวดล้อมในปางไม้นั้น

ภยันตรายนานารอบด้านในเนื้อหาที่เกินจะคิดถึง จะทำให้ผู้อ่านตระหนักอย่างทะลุปรุโปร่งว่านี่มิใช่เรื่องการปฏิวัติในเม็กซิโก แต่จะทำให้เราต้องการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจช่วยคนที่ถูกกดขี่ไม่ว่าที่ใดในโลกอีกด้วย ต้องหาอ่านดู

วิชัย เชื้อเมืองแกลง แปลให้เห็นภาพชัดของการกระทำระหว่างมนุษย์

• นิตยสารรายเดือนสำหรับคนไทย ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม เสนอหลักฐานและประเด็นใหม่เกี่ยวกับพระชาติกำเนิดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่แต่เดิมได้รู้ เล่า และเรียนกันมาว่า คือนายไหฮองกับนางนกเอี้ยง แต่กลับมีหลักฐานที่ยืนยันว่า พระราชบิดาและพระราชมารดาในพระองค์ ล้วนเป็นคนจีน

ต้องหาอ่านแล้วว่า เป็นหลักฐานอะไร มาจากไหน พบหามาอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องน่ารู้อีก เช่น สัตว์สัญลักษณ์บนกล่องพระบรมอัฐิ ในพระอารามประจำรัชกาล เรื่องนางฟ้ารัตนโกสินทร์ เจ้าจอมผู้อาภัพในพระเจ้ากรุงกัมพูชา ชีวิตและอุดมการณ์ “สี่ทหารเสือ” ผู้นำคณะราษฎร และการดับไปกับการเกิดใหม่ของ “ขนุนสำปะลอ” ใครยังจำชื่อได้ เคยกิน หรือใครเพิ่งได้ยินชื่อ

• วัคซีนบริจาคมาอีก รถไฟบริจาคก็มา ไวรัสกลายพันธุ์รุ่นใหม่ก็มา เข็มสามก็ทยอยฉีดกันไป แต่สถานีรถไฟเก่าแก่ยังเป็นปัญหา คนติดเชื้อคนตายยังไม่ซา ผู้ว่าฯกทม. ไม่รู้จะได้เลือกมาเมื่อไหร่ ตายไปตายมา ทำท่าว่าจะไม่ได้ตายเอง

จะปีใหม่อีกแล้ว หาหนังสืออ่านดีกว่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image