พลันที่เปิดรายชื่อผู้ยื่นซองประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรี สุวรรณภูมิ ทั้ง 5 ราย ทำให้เห็นภาพชัดว่าธุรกิจดิวตี้ฟรีดึงดูดนักลงทุนที่สนใจมากเพียงใด เพราะแม้แต่บริษัทที่ไม่มีประสบการณ์ธุรกิจดิวตี้ฟรีก็ยังกระโดดเข้าร่วมการประมูล
ที่จริงประสบการณ์ในการทำธุรกิจดิวตี้ฟรี ถูกระบุเป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้เข้าร่วมประมูลในทีโออาร์ด้วย โดยต้องทำธุรกิจดิวตี้ฟรีมาอย่างน้อย 5 ปี
แต่เมื่อมองไปที่รายชื่อทั้ง 5 ราย พบว่ามีเพียงกลุ่มคิง เพาเวอร์ เท่านั้นที่คุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขนี้ นอกนั้นต่างใช้ประสบการณ์ผ่านพันธมิตรร่วมลงทุน หรือ Joint Venture ที่เป็นบริษัทดิวตี้ฟรีต่างชาติ
จุดนี้เองทำให้ภาพศึกชิงสัมปทานดิวตี้ฟรี เป็นการวัดมือฝีมือกันระหว่างบริษัทดิวตี้ฟรีไทยกับบริษัทดิวตี้ฟรียักษ์ใหญ่ต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม วันที่ 31 พฤษภาคม นี้ได้รู้ผลผู้ชนะการประมูลแน่นอน
หากตามข่าวการประมูลดิวตี้ฟรีมาตลอด ต้องคุ้นหูวาทกรรม ผูกขาดดิวตี้ฟรี ที่ส่วนใหญ่มาจากการให้ข่าวของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ซึ่งประธานสมาคมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บริหารใหญ่กลุ่มเซ็นทรัล หนึ่งในผู้ร่วมประมูลที่ยื่นซองพร้อมกับผู้ร่วมทุนต่างชาติ ดีเอฟเอส สิงคโปร์
การออกตัวแรงของกลุ่มเซ็นทรัล ทำให้น่าจับตาว่าเหตุใดยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกจึงกระโดดเข้าร่วมการประมูลธุรกิจดิวตี้ฟรีที่ตัวเองไม่คุ้นเคย การขาดประสบการณ์ทำให้จำเป็นต้องดึงต่างชาติที่มีประสบการณ์ดิวตี้ฟรีมาร่วมลงทุน หากสุดท้ายแล้วกลุ่มเซ็นทรัลชนะการประมูลรอบนี้ ผลประโยชน์จากธุรกิจดิวตี้ฟรีในประเทศไทยที่ควรจะเป็นของคนไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วย คงต้องปันให้กับต่างชาติส่งคืนให้ประเทศแม่
ในส่วนของกลุ่มการบินกรุงเทพ ผู้ยื่นซองประมูลอีกรายที่จับมือกับบริษัทดิวตี้ฟรีต่างชาติคือกลุ่มล็อตเต้ บริษัทดิวตี้ฟรียักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ที่เพิ่งมีข่าวอื้อฉาว จากกรณี นายชิน ดองบิน ประธานใหญ่ของล็อตเต้ โดนอัยการเกาหลีใต้จับได้จากการทำผิดกฎหมาย ยักยอกเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.6 พันล้านบาท และใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้คนในครอบครัว สร้างความเสียหายให้กลุ่มล้อตเต้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนผู้ร่วมประมูลอีกฝั่งอย่าง กลุ่มคิง เพาเวอร์ ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นธุรกิจของคนไทย บริษัทดิวตี้ฟรีไทยที่สร้างความสำเร็จระดับโลก ก็ลงสู่สมรภูมิแบบตัวคนเดียว ไม่ต้องยืมมือต่างชาติมาช่วย
การดำเนินธุรกิจของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ชัดเจนตั้งแต่รุ่นวิชัยว่าเมื่อมีกำไรต้องตอบแทนสังคม โครงการต่างๆ อย่าง คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ที่เป็นการคืนประโยชน์กลับสู่สังคมผ่านการสนับสนุนคนไทยในหลายด้าน เช่นการเข้าไปเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ในประเทศอังกฤษ ได้ช่วยต่อยอดพัฒนาวงการฟุตบอลให้เยาวชนไทยอย่างเป็นแบบแผน ด้วยแนวคิด “ปั้นนักฟุตบอลไทยสู่ลีกยุโรป” พัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยให้มีความสามารถด้านฟุตบอลทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
และการสนับสนุนชุมชน ในโครงการ Community Power บอกให้โลกรู้ว่าของไทยนี้ดี ให้โอกาสสินค้าไทยจากชุมชนต่าง ๆ ทั้งสินค้าหัตถกรรม อาหาร ขนม และของที่ระลึก ได้มีพื้นที่ที่โดดเด่นสู่สายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มโอกาสทางการตลาด ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับอีกหลายชุมชนทั่วประเทศ
และพัฒนาคอลเลคชั่น INDIGO หนึ่งในโครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย สืบสานภูมิปัญญาของคนไทย วิถีชีวิตท้องถิ่นที่มีมายาวนานของคนบ้านนาขาม ตำบลเชิงชุม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ให้เป็นที่รู้จักผ่านการนำเทคนิคการย้อมครามจากชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญมาต่อยอดในเชิงสร้างสรรค์ และออกแบบให้มีดีไซน์ที่ทันสมัย ตอบโจททย์ตลาดต่างประเทศ แสดงศักยภาพของคนไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในระดับสากล
อาจเรียกได้ว่านี่คือการคืนผลประโยชน์ให้สังคมอย่างเป็น “รูปธรรม” ก็ว่าได้
อีกประการสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างหนักเมื่อมีบริษัทดิวตี้ฟรีต่างชาติเข้าร่วมประมูล คือผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจดิวตี้ฟรีของตัวเองในฐานะ “คู่แข่ง” ระดับโลก อนาคตกิจการดิวตี้ฟรีไทยจะเป็นเช่นไรหากดิวตี้ฟรีไทยกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง แทนที่จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดโลกเช่นที่ผ่านมา
อย่างที่จั่วหัวไว้แต่แรก สัมปทานดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิครั้งนี้ จะเป็นสมรภูมิที่วัดมือธุรกิจคนไทยว่า จะยืนหยัดสู้กลุ่มทุนต่างชาติได้หรือไม่
บริษัทต่างชาตินั้นเมื่อได้ผลประโยชน์ก็มีแต่จะส่งกลับประเทศของตัวเอง ไม่ดีกว่าหรือหากธุรกิจคนไทยได้ผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อที่ผลประโยชน์พึงมีเหล่านั้นจะได้กลับคืนสู่สังคมไทยด้วย สร้างโอกาสสนับสนุนคนไทยด้วยกันเองอีกมากมายมหาศาล