ทำความรู้จัก ปราสาท 3 หลัง จ.สุรินทร์ ปมพิพาทไทย-กัมพูชา

ทำความรู้จัก ปราสาท 3 หลัง จ.สุรินทร์ ปมพิพาทไทย-กัมพูชา

จากกรณีปราสาท 3 หลังของจังหวัดสุรินทร์บนแผ่นดินไทย ที่เขมรจ้องจะยึดเอาและตู่ว่าเป็นของเขมร แต่คนไทยไม่มียินยอม หลังเกิดเหตุปะทะที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ลามมาถึงปราสาทที่จังหวัดสุรินทร์

บรรดานักท่องเที่ยวและคนไทยทั่วสารทิศต่างเดินทางเข้าไปเที่ยวชมปราสาททั้ง 3 หลัง พร้อมทั้งนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้ทหารกล้าที่ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มพิกัด พร้อมกันนี้ชาวบ้านในพื้นที่ปราสาททั้ง 3 หลัง มีปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งมีทหารของเราเฝ้าอยู่ตลอดเวลา

ADVERTISMENT

ยามนี้ที่เกิดวิกฤต แต่ก็ไม่มีใครกลัวจนถึงขั้นต้องอพยพออกจากพื้นที่ มีการตั้งรับไว้พร้อมสรรพ ทั้งหลุมหลบภัยบังเกอร์ พื้นที่รองรับการอพยพเมื่อเกิดเหตุวิกฤตขึ้น โดยทางการได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว

มาดูว่าปราสาท 3 หลังที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์มีความสำคัญและเป็นมาอย่างไร

ในกลุ่มประสาทตาเมือน มีประสาท 3 หลัง ตั้งอยู่เรียงรายใกล้ๆ กันคือปราสาทตาเมืองธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน โดยปราสาทตาเมือนธม อยู่หน้าสุดติดเขตแดนกัมพูชา มีเพียงรั้วลวดหนามกั้น 2 ชั้น จากด้านทิศใต้ของตัวปราสาทประมาณ 60-80 เมตร

ปราสาทตาเมือนธม หรือ ปราสาทตามานธุม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลังเรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน

ปราสาทตาเมือนธม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากกัมพูชา ผ่านมาทางช่องทางสู่กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้

ปราสาทตาเมือนธม ประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ

ปราสาทตาเมือนธมขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรประเทศไทย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3712 วันที่ 8 มีนาคม 2478 เรื่องการกำหนดจำนวนโบราณสถานระดับชาติขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

กลุ่มปราสาทตาเมือน ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิวเขาพนมดงรัก เป็นพรมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมีการใช้เส้นทางผ่านช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษ คือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆ กัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก

ปราสาทตาเมือนโต๊ด (เขมร: ตาม็วนโตจ – ตาไก่เล็ก) ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหลังหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน

ปราสาทตาเมือนโต๊ดอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 750 เมตร และอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 390 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ เชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาลหรือสถานรักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ปราสาทตาควาย, ปราสาทตาวาย หรือในภาษาเขมรเรียกว่า ปราสาทกระเบย ตั้งอยู่บนทิวเขาพนมดงรัก ตรงชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องตาควาย ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหินศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธมที่อยู่ห่างไปประมาณ 12 กิโลเมตร

ปราสาทตาควายตั้งอยู่บนสันเขาห่างจากหน้าผาสูงของเทือกเขาพนมดงรักประมาณ 10 เมตร เป็นปราสาทจตุรมุข ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผังของปราสาทเป็นรูปกากบาท ส่วนฐานต่ำ ส่วนล่างสุดก่อด้วยศิลาแลง ส่วนบนก่อด้วยศิลาทรายทั้งหมด ก่อเป็นทรงพุ่มยอดปรางค์ ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น ส่วนหลังคามุขก่อเป็นรูปประทุน จรดหน้าบันทั้ง 4 ด้าน ภายในห้องมีประติมากรรม ลักษณะคล้ายสวายยัมภูวลึงค์ 1 ชิ้น

นักประวัติศาสตร์คาดการณ์จากรูปทรงของตัวปราสาท ว่าปราสาทนี้น่าจะสร้างในช่วงปลายสมัยนครวัด ต่อตอนต้นสมัยบายน ระหว่างรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ศาสนสถานถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศแด่พระศิวะและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ชาวกัมพูชาอ้างสิทธิ์ว่าปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านแฌร์สลับ (Chher Slap) คุ้มโคกขปัวส์ (Kouk Khpos) ตำบลบันเตียอัมปึล (Banteay Ampil) จังหวัดอุดรมีชัย ส่วนฝั่งไทยตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ การเป็นเจ้าของปราสาทอยู่ในกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา และเคยมีการโจมตีของทหารใกล้ปราสาทใน ค.ศ. 2008 ถึง 2011

เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย ทำให้การเข้าถึงตัวปราสาทเข้าได้เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น ส่วนฝั่งกัมพูชาอาจเข้าถึงได้ยากเพราะทางหลวงเก่าถูกป่าไม้กลืนกินหมดแล้ว ในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะริมชายแดนขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมวิหารชั่วคราว หลังจากนั้นแรงกดดันมีมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้เพียงไม่กี่เมตร โดยมี หทารบกและทหารพรานประจำการตรงนี้

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ทางเข้าปราสาทฝั่งกัมพูชาเริ่มง่ายขึ้นเพราะมีการพัฒนาถนนแล้ว ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2552 แล้วเปิดใช้งานใน พ.ศ. 2553 โดยเป็นถนนลูกรังสีแดงที่มีความยาว 24 กิโลเมตร (แต่ไม่นานมานี้ได้พัฒนาเป็นถนนยางมะตอย) และถนนคอนกรีตขึ้นเขา 500 เมตร ผู้เข้าชมควรจอดรถในบริเวณใกล้เนินเขา เพราะพื้นที่บางส่วนชันเกิน เมื่อถึงยอดเขา นักท่องเที่ยวสามารถชมทิวทัศน์ของทิวเขาพนมดงรัก

เมื่อเกิดการสู้รบที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2554 ปราสาททั้ง 3 หลังก็ถูกระงับการขึ้นไปเที่ยวชมปราสาทเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบทางการฝั่งไทยก็อนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปเที่ยวชมปราสาททั้ง 3 หลังได้ตามปกติมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าขณะนี้จะมีวิกฤตบางประการตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ทางการก็ยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปเที่ยวชมปราสาททั้ง 3 หลังได้ตามปกติเหมือนเช่นเคย

“แผ่นดินนี้ของข้าใครอย่าแตะ จะรักษาไว้เสมอชีวิต เพื่อลูกหลานชาวไทยสืบต่อไป”