เดือนพฤษภาคมเมื่อปี 2557 เป็นเดือนที่เกิดการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่เป็น ผบ.ทบ.ได้นำคณะทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีคำมั่นสัญญาสำคัญคือคืนความสุขให้ประชาชน และหลังจากยึดอำนาจแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ได้ยับยั้งการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และกลุ่ม นปช. จากนั้นได้จัดตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมา มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายหลายประการ ที่สำคัญคือ ต้องทำให้ประเทศกลับคืนสู่การปรองดอง ดำเนินการปฏิรูปประเทศ และจัดการเลือกตั้ง
ดังนั้น เมื่อถึงเดือนพฤษภาคมหลังจากเหตุการณ์ยึดอำนาจ จึงมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง 2 ฟากฝั่ง หนึ่งฟากฝั่งของ คสช. ได้ให้ความสำคัญกับผลการทำงาน พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้รัฐบาลและ คสช.จัดทำผลงานแถลงให้ประชาชนทราบว่าภารกิจที่ คสช.เคยรับปากไว้นั้นทำได้ไปถึงไหน และจะทำอะไรต่อไป หลังจากทุกอย่างเสร็จแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง คือความเคลื่อนไหวทวงคำมั่นสัญญา โดยเฉพาะการจัดการเลือกตั้ง นำประเทศไทยคืนสู่เวทีประชาธิปไตย
ในปี 2561 นี่ก็เช่นกัน ขณะนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทวงคำมั่นสัญญา กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ต้องการทวงคำสัญญาว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยก็เป็นอีกความเคลื่อนไหวหนึ่ง และที่น่าจับตามองก็คือ ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังที่เคยยืนอยู่ข้าง คสช.เมื่อขณะที่มีการยึดอำนาจ เริ่มกลับมาอยู่ฟากฝั่งทวงสัญญามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ คสช. และรัฐบาลก็ยืนยันเสมอว่าจะทำตามสัญญาที่รับปากไว้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองในห้วงเดือนพฤษภาคมนี้คือความเคลื่อนไหวทางฟากฝั่ง คสช. โดยเฉพาะการแถลงผลงานของ คสช. และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งระบุว่ามีการพูดคุยกันเบื้องต้นเพื่อเตรียมแถลงผลงานรัฐบาลและคสช.ให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งหาก คสช. และรัฐบาลสามารถแถลงผลงานที่ประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมย่อมสร้างการรับรู้ที่ดีให้เกิดแก่ประชาชน ยิ่งในสถานการณ์ใกล้สิ้นสุดโรดแมป การนำผลสำเร็จของการปฏิบัติออกมาโชว์ อาจจะเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาลคราวหน้าก็เป็นไปได้
