เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอุ้มฆ่านายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ที่อัยการยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ และ อดีต ผบช.ภ.5 กับผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 4 คน ประกอบด้วย พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง เป็นจำเลย ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง มีเพียงพยานแวดล้อมและบอกเล่า ส่วนพ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก พยานในคดี ก็ให้การกลับไปกลับมา ไม่สามารถเชื่อถือได้ ส่วนแหวนที่อ้างว่าพบใกล้ถังน้ำมันในที่เกิดเหตุ เมื่อมีการนำสืบแล้ว ไม่มีญาติคนใดของผู้เสียชีวิตยืนยันได้ว่าเป็นของนายโมฮัมหมัด อัลลูไวรี่ ประกอบกับมีประเด็นต้องสงสัย เหตุที่ไม่มีการนำแหวนวงนี้ส่งให้ตำรวจตรวจสอบ แต่ส่งให้ญาติเป็นผู้เก็บรักษา และการเบิกความจากช่างที่รับแหวนไปซ่อม ยืนยันว่าไม่พบรอยไหม้แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์จึง เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน
ส่วนกรณีที่ นางวักดะห์ ซาเล็ม อาเหม็ด อัลรูไวรี่ มารดานายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ เป็นโจทก์ร่วม และอุทธรณ์คดี พร้อมขอให้นายโมฮัมเหม็ด เป็นบุคคลสาบสูญ ศาลเห็นว่ายังไม่ชัดเจนว่านายโมฮัมเหม็ด เสียชีวิตหรือไม่ นางวักดะห์ จึงไม่มีอำนาจเข้าร่วมจัดการแทนนายโมฮัมเหม็ด การเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมจึงมิชอบ และให้ยกคำร้อง
ภายหลังนายเอนก คำชุ่ม ทนายความฝ่ายโจทก์ ระบุว่าอุปทูตซาอุฯ ยืนยันจะยื่นฎีกาต่อ ส่วนประเด็นแหวนของนายโมฮัมเหม็ด ที่ศาลชี้ว่าเป็นหลักฐานเก่า นั้น เห็นว่าคดียังไม่สิ้นสุดก็สามารถต่อสู้ในประเด็นนี้ได้
ด้าน พล.ต.ท.สมคิด ระบุว่าขอขอบคุณศาลที่เมตตา และตัวเองได้ต่อสู้มากว่า 7 ปี แล้ว เพื่อพิสูจน์ความจริง และเมื่อถูกฟ้องก็ไม่หลบหนี แม้คดีจะเหลืออายุความเพียง 1 เดือน ก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และตัวและได้ยื่นฟ้องพนักงานสอบดีเอสไอ และอัยการ ฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และได้ยื่นศาลปกครอง ขอให้เยียวยาทางปกครองด้วย พร้อมฝากถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าการที่ตำรวจถูกกล่าวหา จะต้องต่อสู้คดีด้วยตัวเอง จึงอยากให้ตำรวจศึกษา กฎหมายต่างๆ เพื่อใช้ต่อสู้ด้วยตัวเองด้วย
