ตลาดสินค้าออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วบางประเทศยอดขายสินค้าออนไลน์ได้แซงหน้ายอดขายจากห้างสรรพสินค้าไปแล้วเนื่องจากความสะดวกสบายรวดเร็วและสิทธิพิเศษต่างๆทำให้กลุ่มผู้บริโภคหันมาเลือกการซื้อขายผ่านทางออนไลน์มากขึ้นธูรกิจดังกล่าวมีมูลค่าสูงแต่ในขณะที่บางครั้งรัฐบาลยังจัดเก็บภาษีไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยการขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียยังมีช่องว่างทางภาษีและหากภาครัฐจะเข้ามาดูแลจัดเก็บนั้นจะทำได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลังดูแลการเก็บภาษีการซื้อขายผ่านออนไลน์ให้รัดกุมกว่าที่ผ่านมาโดยกระทรวงการคลังจะตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นมาดูแลโดยให้3กรมภาษีคือกรมสรรพากรกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรร่วมกันตรวจสอบการเก็บภาษีดังกล่าว
อ.พิชญ์มองว่าถ้ามีการเก็บภาษีสินค้าออนไลน์ได้จริงจะสามารถเก็บได้หรือไม่ และถ้ามีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งในไทยนั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เท่ากันหมด โดยบริษัทธุรกิจค้าขายทั่วไปที่จ่ายภาษีก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ แต่ถ้าหากเป็นบุคคลธรรมดาเป็นผู้ค้ารายย่อยจะต้องเสียภาษีอย่างไร
ด้านคุณสุรนันทน์มองว่าหากรัฐบาลจะเรียกเก็บจริงๆ จะต้องทำผลงานอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนชนนั้นอยากจ่ายภาษี รัฐบาลต้องเรียกศรัธาจากประชาชนทำให้เห็นว่าการจ่ายภาษีจะสามารถนำไปพัฒนาประเทศได้จริง และที่สำคัญที่สุดคือการจ่ายภาษีต้องเป็นธรรม
เรื่องการเก็บภาษีออนไลน์ยังไม่จบง่ายๆ ติดตามกันต่อไปว่ารัฐบาลจะมีการดำเนินการอย่างไรในอนาคตพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เตรียมตัวกันไว้ให้ดี
