เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าการปรับเปลี่ยนตำแหน่งพนักงานสอบสวนจะเกิดผลดี ซึ่งผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะพิจารณาไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่และประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมแน่นอน
พล.ต.ต.ทรงพล กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานสอบสวน ร้อยละ 66 มีความเห็นด้วยและต้องการออกมาจากสอบสวน เพื่อให้มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน พร้อมกับยืนยันว่าการแยกงานสืบสวนกับงานสอบสวนออกจากกัน ไม่สามารถทำได้เนื่องจากงานต้องทำคู่ขนานและความเป็นเอกภาพ ประชาชนต้องได้รับความสะดวกรวดเร็วและเป็นธรรม
พล.ต.ต.ทรงพล กล่าวว่า ขณะเดียวกันยืนยันว่าความเคลื่อนไหวจากสมาพันธ์และสมาคมพนักงานสอบสวนได้ยุติความเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่จะมีตัวแทนบางส่วนยื่นข้อเรียกร้องผ่านคณะทำงานของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.ที่จะมีการประชุมคณะทำงานเพื่อหารือเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่พนักงานสอบสวนจะได้รับ
พล.ต.ต.ทรงพล ยืนยันว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีความเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน และส่วนตัวมองว่ากลุ่มบุคคลที่ออกมาต่อต้าน ถ้าได้ศึกษากฎหมายอย่างละเอียดจะพบว่ามีข้อดีและได้ผลประโยชน์มากกว่า และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะดีขึ้นกว่าเดิมทั้งสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนต่างๆ
พล.ต.ต.ทรงพล กล่าวว่า ส่วนที่มีการส่งต่อคำสั่งของตำรวจสันติบาล3 ผ่านสังคมออนไลน์ที่ระบุถึงมาตรการการเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัยภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการตรวจค้นกระเป๋าทุกใบและห้ามตำรวจนอกหน่วยพกพาอาวุธปืนเข้ามาในอาคาร โดยอ้างถึงกรณีที่มีตำรวจผูกคอเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น
พ.ต.อ.จักรเทพ กุญชร ณ อยุธยา ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 ยืนยันว่าเป็นมาตรการที่ดำเนินการมาตามปกติปฏิบัติอย่างชัดเจน และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งการตรวจค้นกระเป๋า-อาวุธ ไม่โยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมายืนยันว่าได้ทำตามคำสั่งที่เป็นเอกสารทางราชการ และได้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้เข้มงวด
ด้านพล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ตำรวจสันติบาลทำงานหนักเพื่อให้ทุกคนมีความปลอดภัย และทำมานานแล้ว ซึ่ง ผบ.ตร.ไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
