ผู้ป่วยคลิปเก๋งไม่หลบรถฉุกเฉินเสียชีวิตแล้ว ญาติอโหสิให้

ช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Kenzaa Standby ได้โพสต์คลิปรถฉุกเฉินคันหนึ่งได้เปิดสัญญาณไซเรนเพื่อขอทาง ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่นำตัวผู้ป่วยอาการหนักส่งไปยังโรงพยาบาล แต่ระหว่างทางในช่องเลนขวาได้มีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อซูซูกิ สวิฟต์ สีแดง ขับโดยไม่ยอมหลบให้ทาง และขับแช่อยู่เลนขวาตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อรถฉุกเฉินได้ขับตามไปได้สักระยะ ก็ได้ขับเบี่ยงแซงทางด้านซ้ายของรถเก๋งสีแดงคันดังกล่าว

ซึ่งขณะที่กำลังแซงนั้นพบว่า คนในรถเก๋งสีแดงได้ลดกระจกฝั่งซ้ายด้านข้างคนขับลง และคนที่นั่งข้างคนขับได้หันมามองด้วยสายตาแบบไม่เป็นมิตร ล่าสุดผู้ป่วยที่อยู่ภายในรถพยาบาลได้เสียชีวิตลงแล้ว ทำให้คลิปภาพดังกล่าวถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลกันอย่างกว้างขวาง

จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่าผู้ป่วยที่อยู่ในรถคันเกิดเหตุ ชื่อนายประสิทธิ์ แรมครบุรี อายุ 61 ปี ชาวบ้านสระผักโพด ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ที่ต้องใช้รถฉุกเฉินคันดังกล่าวเดินทางจากโรงพยาบาลลาดกระบัง เพื่อกลับโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใกล้กับภูมิลำเนาบ้านเกิด ซึ่งขณะนี้เสียชีวิตแล้ว

Advertisement

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดสระผักโพด ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของนายประสิทธิ์ แรมครบุรี ที่เป็นผู้ป่วยซึ่งใช้บริการรถฉุกเฉินคันดังกล่าวมายังโรงพยาบาลครบุรี ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อประมาณ 19.00 น. วันเดียวกันกับที่เกิดเหตุการณ์ พบว่ามีบรรดาสมาชิกครอบครัว อาทิ นางทองม้วน แรมครบุรี ภรรยาของผู้ตาย นางสาวสายใจ แรมครบุรี บุตรสาวคนโต และบุตรชายอีกสองคน คอยต้อนรับแขกอยู่ภายในงาน โดยมีบรรดาญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมแสดงความเสียใจตลอดทั้งวัน รวมถึงพากันนั่งจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดแสดงความเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น และคนขับรถเก๋งสีแดงน่าควรจะมีน้ำใจมากกว่านี้

นางสาวสายใจ แรมครบุรี บุตรสาวคนโตของผู้ตาย เล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของตนเองทั้งหมดได้ตัดสินใจอพยพครอบครัวทั้งหมดเข้าไปทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านลาดกระบังมานานประมาณ 18 ปีแล้ว โดยนายประสิทธิ์ ผู้เป็นบิดา ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเช่นเดียวกันกับสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้ชาย ส่วนตนเองนั้นทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พ่อเป็นคนขยันขันแข็ง แข็งแรงดี แต่มีโรคหืดหอบซึ่งเป็นโรคประจำตัว ซึ่งก็ดูแลตัวเองได้ดีมาตลอด

กระทั่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พ่อมีอาการปวดหัว จึงได้ไปหาซื้อยาที่คลินิกใกล้บ้านมากิน แต่ไม่ยอมไปหาหมอ และเมื่อวันที่ 5 เม.ย.เกิดอาการทรุดลงอย่างกะทันหันจนไม่รู้สึกตัว ครอบครัวจึงนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลลาดกระบัง ซึ่งแพทย์มาดูอาการแล้วลงความเห็นว่ามีอาการสมองขาดออกซิเจน หากรักษาก็ทำได้แค่กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ทางครอบครัวจึงตัดสินใจที่จะส่งตัวกลับมาพักที่โรงพยาบาลครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งใกล้กับบ้านเกิด เพื่อหวังว่าจะให้บรรดาญาติพี่น้องทั้งหมดได้มาดูใจกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเสียก่อน ยังดีที่พ่อยังได้กลับมาสิ้นใจยังภูมิลำเนาบ้านเกิด ซึ่งในช่วงเกิดเหตุนั้นมีแม่และน้องชายนั่งไปในรถฉุกเฉินกับพ่อ ส่วนตนเองนั้นกำลังนั่งรถอีกคันขับตามไปจึงไม่เห็นเหตุการณ์ กระทั่งเห็นคลิปที่ถูกโพสต์แชร์ดังกล่าว

Advertisement

นางสาวสายใจกล่าวว่า มาวันนี้ตนเองและครอบครัวไม่ติดใจเอาความอะไรกับคนขับรถเก๋งคันดังกล่าว และขออโหสิกรรมให้ เพราะอยากให้พ่อจากไปอย่างเป็นสุขที่สุด แต่ก็อยากฝากบอกว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ควรที่จะมีน้ำใจมากกว่านี้ เพราะรถฉุกเฉินที่ต้องเปิดไซเรนและไฟขอทางนั้น มีผู้ป่วยอยู่ในรถ ส่วนใหญ่ต้องเร่งส่งตัวไปทำการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะมีชีวิตเป็นเดิมพัน แม้ว่ากรณีของพ่อตนเอง ครอบครัวพอที่จะทำใจได้แล้ว แต่ก็อยากให้พ่อไปถึงบ้านโดยยังมีลมหายใจเพื่อให้ญาติพี่น้องได้มาพบหน้า และหากเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของตนเองบ้างจะรู้สึกเช่นไร

ทั้งนี้พิธีฌาปนกิจศพของนายประสิทธิ์ แรมครบุรี จะมีขึ้นในช่วงบ่ายวันที่ 9 เม.ย.61 ที่วัดสระผักโพด ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เวลา 14.00 น.

ขณะที่นักข่าวได้ไปสอบถามคนขับรถฉุกเฉินคันดังกล่าว โดยคนขับบอกว่า ที่ไม่ขับเบี่ยงซ้าย เพราะเปิดไซเรนแล้ว หากรถเบี่ยงออกอาจกระทบต่อตัวผู้ป่วย จึงชี้ว่ารถคันหน้าควรเป็นฝ่ายที่เบี่ยงออก

ทั้งนี้ในโลกออนไลน์มีการแชร์ข้อความของชายที่นั่งในรถเก๋ง โดยอ้างว่า เป็นบุคลากรการแพทย์ฉุกเฉินที่ต้องเปิดกระจกเพื่อต้องการส่งสัญญาณให้รถฉุกเฉินวิ่งออกซ้าย ส่วนคนขับเป็นแฟนของเขา ซึ่งเป็นผู้หญิง ทั้งนี้ยังไม่สะดวกจะให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม

ขณะที่ ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุชายในรถเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานจริง แต่ไม่ใช่คนขับ คนขับคือแฟนสาวที่รู้สึกตกใจที่มีรถมาขับจี้และไม่ชำนาญการขับ ทั้งนี้หลังเกิดเหตุได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนแล้ว และจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

อย่างไรก็ตามทาง สพฉ.ได้แนะนำแนวทางการหลีกทางให้รถพยาบาลฉุกเฉินในสากล ดังนี้

1.ผู้ขับขี่ควรตั้งสติเมื่อเห็นสัญญาณไฟและได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน

2.พยายามมองกระจกหลังเพื่อกะระยะของรถพยาบาลที่วิ่งมา

3.เมื่อพิจารณาปริมาณรถทั้งซ้ายและขวาที่อยู่ใกล้แล้วพบว่าไม่มีอันตรายและเราสามารถเบี่ยงชิดซ้ายได้ ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วรถและเบี่ยงซ้ายเพื่อหลีกทางให้รถพยาบาลทันที

4.หากไม่สามารถหลีกทางได้ด้วยเพราะสภาพรถที่หนาแน่นและมีอันตราย ก็ให้หยุดชะลอรถให้นิ่งเพื่อให้รถพยาบาลฉุกเฉินหาทางวิ่งผ่านเราไปให้ได้

5.เมื่อรถพยาบาลฉุกเฉินวิ่งผ่านไปแล้วห้ามขับตามเด็ดขาด

6.กรณีรถติดและรถพยาบาลฉุกเฉินอยู่ด้านหลังพอดีให้พิจารณาว่าควรชิดซ้ายหรือชิดขวาดี ถ้าไม่มีใครหลีกทางให้ ให้ผู้ขับขี่เลือกว่าจะหลบทางไหนและเปิดไฟเลี้ยว เพื่อให้สัญญาณให้รถพยาบาลฉุกเฉิน ได้แซงผ่านไปได้สะดวก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image