เดินหน้าชน : เส้นทาง ‘สันติสุข’

นับตั้งแต่ประเทศมาเลเซียจัดการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา มหาธีร์ โมฮัมหมัด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวัย 92 ปี การกลับมาครั้งนี้ นอกจากจะโค่นล้ม นาจิบ ราซัค ลงได้แล้ว ภารกิจเร่งด่วนของมหาธีร์คือการจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ตามที่ประกาศหาเสียงเอาไว้ เป็นที่รับทราบกันไปแล้ว มหาธีร์เข้าไปสะสางปัญหาตั้งแต่ค่าครองชีพของประเทศที่สูงขึ้น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อพยุงฐานะการคลังให้กลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุด

ที่สำคัญคือการถอนรากถอนโคนการคอร์รัปชั่นอย่างมากมาย โดยเฉพาะตัวของนาจิบ ที่มีการทุจริตกองทุนพัฒนาประเทศ

อีกกรณีหนึ่ง ภายหลังข่าวมหาธีร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นักข่าวไทยได้ส่งคำถามไปถึงคนในรัฐบาลโดยเฉพาะเกี่ยวกับการเจรจาแผนสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะสะดุดหรือชะงักงันหรือไม่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำว่า นโยบายต่างๆ ของไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเรื่องการเจรจาสันติสุขใต้ ทุกฝ่ายทั้งไทยและมาเลเซียต้องการให้เกิดความสงบสันติสุขด้วยกันทั้งนั้น ส่วนคณะพูดคุย ทางมาเลเซียต้องดูอีกครั้งหนึ่ง และการเปลี่ยนขั้วการเมืองของมาเลเซียในครั้งนี้ไม่มีปัญหาหรือส่งผลกระทบกับสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะมหาธีร์กับประเทศไทยก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

Advertisement

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์ได้ถามมหาธีร์ถึงการที่มาเลเซียยังคงทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยต่อไปหรือไม่ มหาธีร์ตอบไม่ลังเลว่า ยังทำหน้าที่ต่อไป

ส่วนจะมีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ในการพูดคุยหรือไม่นั้น มหาธีร์ตอบว่า จะมีการประกาศอีกครั้ง ในส่วนนี้คงมีการเปลี่ยนคนเดิม คือ นายอาหมัด ซัมซามิน บิน ฮาชิม ออกไป เพราะเป็นบุคคลที่ นาจิบ ราซัค ตั้งขึ้นมา ความเหมาะสมที่จะให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจึงไม่น่าจะเป็นไปได้

ถือเป็นการความคืบหน้าหนึ่งของการเจรจาแผนดับไฟใต้ ที่ทุกคนต่างรอดูท่าทีของมหาธีร์ แต่ก็ยังมีบางความเห็นมองว่า การเจรจาแผนสันติสุขที่มาเลเซียยุคของมหาธีร์จะเข้ามามีบทบาทช่วยดับไฟใต้ กับการทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกนั้น มีความเป็นไปได้ที่อาจต้องยกระดับการเจรจาที่เป็นสากลมากขึ้นในทันที มิใช่ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

Advertisement

น่าสนใจอีกประการ ข่าวการลงเอยครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กับ นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้เห็นแล้วว่า ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้ามีการยกกำลังแสดงแสนยานุภาพ การข่มขู่ด้วยท่าที่แข็งกร้าวของผู้นำสหรัฐ กับการที่เกาหลีเหนือยังคงกดปุ่มทดลองขีปนาวุธติดหัวรบอาวุธนิวเคลียร์เป็นว่าเล่น

เมื่อนำมาเปรียบเทียบในบริบทของการคุกรุ่นในแผนดับไฟใต้แล้ว แม้เกาหลีเหนือกับสหรัฐจะเป็นการดีลระหว่างประเทศต่อประเทศ ขณะที่รัฐบาลไทยก็มีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการตกลงทำแผนบรรลุกับกลุ่มเห็นต่างที่เดินเกมอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีเช่นกัน

หลังจากนี้ มหาธีร์จะนั่งในตำแหน่งนายกฯมาเลเซียแค่ 2 ปี ก่อนส่งให้ นายอันวาร์ อิบราฮิม เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปอีก 3 ปี ขณะที่ประเทศไทยนั้นภาคของผู้ปฏิบัติในแผนสันติสุขยังเดินหน้าต่อไป แต่ทุกอย่างจะไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิม หากผ่านการเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมปีหน้า เป็นไปในทำนองเดียวกับที่มหาธีร์เมื่อถึงเวลานั้นน่าจะไปจัดการกับเรื่องภารกิจนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการได้ตัวผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ ที่นอกจากจะเป็นมือขวาให้มหาธีร์แล้ว ยังต้องเข้ากับทางรัฐบาลไทยอีกด้วย

ตบท้ายกันที่ พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “เรื่องภายในของมาเลเซียเขาในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนายกฯ ก็ว่ากันไปเราทำอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องภายในของเราจำเป็นต้องดูแลประชาชนให้ปลอดภัยสูงสุด”

เสกสรรค์ กิตติทวีสิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image