กาลครั้งหนึ่ง..นานมาแล้ว แฝดสยาม (19) แม่แฝดเสียชีวิต-สงครามกลางเมืองในอเมริกา โดย พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก

ความเดิมจากตอนที่แล้ว แฝดอิน-จัน ชาวเอเชียจากเมืองแม่กลอง ที่ไปโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน เป็นเกษตรกรเต็มตัว มีที่ดินขนาดมหึมา โดนเขม่นจากสังคมคนผิวขาวว่า เหตุไฉนแฝดคู่นี้จึงเป็นเจ้าของทาสนิโกรผิวดำได้ถึง 28 คน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องล้ำเส้น เกินหน้าเกินตาคนผิวขาวเจ้าของประเทศ

ขอเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพเป็นเกร็ดความรู้ว่า ในอเมริกายุคสมัยนั้น คนขาวเหยียดสีผิว กีดกันเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ มีความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องการมีทาส การเลิกทาส โดยมีการแบ่งฝ่ายชัดเจนระหว่างรัฐทางฝ่ายเหนือที่ไม่สนับสนุนการมีทาส ส่วนรัฐทางใต้สนับสนุนการมีทาสไว้ทำงาน

อิน-จันมีโอกาสแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวของทาสในสยามให้เพื่อนๆ ฟัง ซึ่งในยุคสมัยนั้นสยามมีระบบทาสเช่นกัน

แฝดอิน-จันที่ปักหลักมีครอบครัวในช่วงนั้น นอกจากมีทาสในครอบครองแล้วยังโดนเขม่นเรื่องการมีเชื้อสายจีนอีกต่างหาก เพราะอเมริกันผิวขาวกำลังรณรงค์ต่อต้านการอพยพของชาวจีนที่ทะลักเข้าไปในรัฐแคลิฟอร์เนียแบบมืดฟ้ามัวดิน คนจีนที่อพยพมาทางเรือขึ้นฝั่งทางตะวันตกจำนวนมหาศาล กลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนียในเวลาไม่กี่ปี

Advertisement

ประเด็นร้อนในสังคมอเมริกาตะวันตกยุคนั้นคือความพยายามที่จะสกัดกั้นชาวจีนที่กำลังเข้ามาในอเมริกาไม่หยุด และในเวลาเดียวกันก็หาทางออกกฎหมายจำกัดสิทธิคนจีนที่เข้ามาอยู่ในแคลิฟอร์เนียแล้ว

สังคมคนผิวขาวค่อนข้างมีอคติกับชาวจีน ด้วยเป็นที่ทราบกันดีว่า ชาวจีนทั้งหลายมีคุณสมบัติเป็นเลิศในการทำงานหนัก มีความรักพวกพ้อง ชอบอยู่รวมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในอนาคตความขยัน อดทน หนักเอาเบาสู้ อาจจะทำให้ชาวจีนกลายเป็นผู้กุมชะตาธุรกิจค้าขายในอเมริกา หรือมีศักยภาพเหนือคนผิวขาวเจ้าของแผ่นดิน

ข้อมูลจากหนังสือ The Lives of Chang and Eng โดย Joseph A. Orser อธิบายว่า ยุคนั้นอเมริกาเป็นประเทศเกิดใหม่ กำลังต้องการแรงงานราคาถูก และชาวจีนคือตัวเลือกที่เด่นที่สุดเมื่อเทียบกับคนชาติอื่นๆ ที่แห่กันเข้าไปหางานตั้งรกรากในอเมริกา

Advertisement

ตรงกับสุภาษิตไทยที่เรียกว่าเกลียดตัวแต่กินไข่

ในสมัยแผ่นดินพระเจ้าตากสินมหาราชที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติกลับคืนมา ขับไล่พม่าออกไปจากอยุธยา ชาวจีนทางตอนใต้นับหมื่นก็อพยพทางเรือหนีความอดอยาก ฝ่าพายุในทะเล รอนแรมแบบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากในแผ่นดินสยามจำนวนมหาศาลเช่นกัน และชาวจีนเหล่านี้กลายมาเป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้ร่ำรวยมั่งคั่งในแผ่นดินไทยแทบทั้งนั้น รวมทั้งปู่และพ่อของแฝดสยามที่ชื่อนาย ตีอาย ก็เป็นลูกจีนแท้ๆ ที่ลงเรือมาสยามกับเค้าด้วย

ข้อมูลในอดีตของสหรัฐ ในระหว่างปี พ.ศ.2391-พ.ศ.2398 มีชาวจีนอพยพทางเรือมาขึ้นฝั่งที่ซานฟรานซิสโกราว 50,000 คน กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในแคลิฟอร์เนียได้เพราะคนจีนรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน

ในเวลาเดียวกัน ชาวไอริชราว 100,000 คน และชาวเยอรมันราว 700,0000 คนก็ทยอยเข้าสู่อเมริกาทางตะวันออกของอเมริกาเช่นกัน

ข้อมูลเหล่านี้เป็นความรู้สึกกังวลของคนผิวขาวที่อยู่ในแผ่นดินมาก่อนว่าคนต่างเชื้อชาติที่มาทีหลังคือผู้มาแย่ง มาเบียดเบียนตน หรืออาจจะมีชัยเหนือตน

นสพ. The National Era ซึ่งเป็นสื่อรัฐทางเหนือที่ต่อต้านการมีทาส ออกมาเปิดประเด็น ตั้งคำถามถึงชาวจีนที่อพยพเข้ามาใหม่สามารถครอบครองทาสได้หรือไม่? แฝดสยามที่ถูกมองว่ามีสถานะเหมือนชาวจีนอพยพเลยโดนหางเลข โดนเขม่นกะเค้าด้วย

ในแต่ละวันหนังสือพิมพ์ของรัฐทางเหนือจะออกข่าวโจมตีรัฐทางใต้เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ การทรมานทารุณกรรมต่อทาสนิโกรอย่างดุเดือด ส่วนหนังสือพิมพ์ของรัฐทางใต้ก็จะตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน สังคมแตกแยก เป็นปรปักษ์กันแบบเปิดเผย

นอกจากนั้นยังมีข่าวในหนังสือพิมพ์อีกว่า แฝดสยามคู่นี้เฆี่ยนตีทรมานทาสนิโกรแสนสาหัสปรากฏขึ้นมาในลักษณะหาเรื่องใส่ความ ในที่สุด อิน-จัน บังเกอร์ ซึ่งเป็นประชาชนอเมริกันแล้วต้องเขียนชี้แจงตอบโต้ข่าว โดยมีบรรดาทาสทั้งหลายลงชื่อรับรองในจดหมายส่งไปยังสื่อต่างๆ จึงยุติประเด็นดังกล่าวได้

กลับมาที่แฝดอิน-จัน และครอบครัวครับ

กฎ 3 วันแบ่งกันอยู่ใช้ได้ผล เป็นกฎเหล็ก ไม่อ่อนตัว แฝดอิน-จันเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ไม่ก้าวล่วงกัน ครอบครัวของอินและจันไม่มีการกระทบกระทั่ง ซาร่าห์และอาดีเลดรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

ลูกที่เกิดมาทั้ง 2 ครอบครัวอุ่นหนาฝาคั่ง ต้องกินต้องใช้เงิน เพื่อนของแฝดที่ชื่อนายแพทย์เอ็ดมันด์ โดตี้ (Edmund Doty) มาชวนให้แฝดสยามออกโชว์ตัวเก็บเงินเหมือนที่เคยทำมาก่อน แต่คราวนี้ปรับแผนการแสดง โดยให้เอาลูกของแฝดทั้งสองขึ้นเวทีการแสดงด้วย จะแสดงตัว 6 วันต่อสัปดาห์ เมื่อดีดลูกคิดแล้ว อิน-จัน บังเกอร์ จะมีรายได้ปีละ 8,000 เหรียญต่อปี

อิน-จัน ที่ร้างเวทีไป 10 ปีตอบตกลงตามข้อเสนอ

การแสดงตัวเก็บเงินครั้งนี้ แฝดสยามนำลูกสาวชื่อ โจเซฟฟินและแคธเธอรีน อายุ 5 ขวบไปด้วย โดยไปตั้งต้นการแสดงที่นิวยอร์ก บ้านเก่าที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต

การแสดงของแฝดคราวนี้กลับมีบรรยากาศความเงียบเหงาวังเวงเหมือนผีหลอก ไม่คึกคักตามแผนการตลาด ความตื่นเต้นเร้าใจของผู้คนนิวยอร์กที่จะเสียเงินเข้ามาดูตัวแฝดและลูกสาวค่อนข้างแผ่วเบา แฝดสยามถูกมองว่าไม่ร้อนแรง เก่าเก็บ

เพียง 6 เดือน คณะการแสดงของแฝดสยามพร้อมลูกสาว 2 คนที่มีหมอโดตี้เป็นผู้จัดการแสดงต้องม้วนเสื่อ เก็บของจากนิวยอร์กกลับบ้าน เพราะแฝดอิน-จันขายไม่ออก ไม่มีคนสนใจชมการแสดง

เบื้องหลังความเย็นชาของชาวนิวยอร์กที่ไม่สนใจจะมาดูตัวแฝดสยาม เนื่องจากเจ้าพ่อนักธุรกิจอเมริกันชื่อ พี ที บาร์นัม (P. T. Barnum) กำลังจัดการแสดงตัว “นายพล ทอม ทัมบ์” (General Tom Thumb) คือคนตัวจิ๋วมีชีวิต ที่มีความสูงเพียง 28 นิ้ว หนัก 15 ปอนด์ เท้ายาวเพียง 3 นิ้ว มนุษย์คนนี้แหละคือของแปลกกว่า ที่มีความตื่นเต้น ท้าทายมากกว่าการแสดงของแฝดในนิวยอร์ก

ที่จริงนายบาร์นัมไปเจอมนุษย์ตัวจิ๋วคนนี้และซื้อมาจากพ่อแม่ในรัฐคอนเนกทิคัต เพื่อให้ตื่นเต้นเรียกแขก แกจึงจับแต่งตัวมนุษย์จิ๋วคนนี้ใส่เครื่องแบบทหาร โฆษณาแหกตา

ว่าไปขอซื้อตัวมาจากอังกฤษ และเพื่อให้พิสดารหลุดโลก เขาจึงตั้งยศให้เป็นนายพลของกองทัพสหรัฐ (ดูภาพ)

วันหนึ่งในระหว่างการเดินทาง ข่าวที่สร้างความสะเทือนใจกับแฝดมาถึงมือ โดยแจ้งว่า นายโรเบิรต์ ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ที่ชาวสยามเรียกแบบสะดวกปากว่านายหันแตร พ่อค้าอังกฤษเชื้อสายสก๊อต ที่ไปนำตัวแฝดอิน-จัน จากแม่กลองมาอเมริกาเมื่อ 15 ปีก่อน เสียชีวิตลงในสกอตแลนด์บ้านเกิด

ท่านผู้อ่านยังคงจำได้นะครับ พ่อค้าคนนี้เป็นเจ้าของเรือสินค้าเดินทะเล เข้ามาค้าขายในแผ่นดินสยาม ติดต่อ สนิทสนมกับผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ สมัยในหลวง ร.3 นำปืนคาบศิลา กระสุนดินดำมาขายให้ทางการไทย รวมทั้งอาวุธอีกหลายรายการ จนกระทั่งได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น “หลวงอาวุธวิเศษ”

นอกจากนี้ นายหันแตรคนนี้แหละที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปิดห้างสรรพสินค้าเป็นเจ้าแรกในสยาม (ปัจจุบันอยู่แถวบริเวณวัดประยุรวงศาวาส) หัดพูดภาษาไทยได้คล่อง ค้าขายร่ำรวย เดินเรือไปมาระหว่างยุโรปกับเอเชีย แต่ต่อมาทางการไทยจับได้ว่านายหันแตรลักลอบนำฝิ่นเข้ามาทางเรือเพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวสยาม และชาวจีนในสยาม ในช่วงหลัง นายหันแตรเริ่มข่มขู่ขุนนางสยามเรื่องการค้าขาย ในที่สุดนายหันแตร หรือนายโรเบิรต์ ฮันเตอร์ ผู้นี้จึงถูกทางการสยามเนรเทศออกนอกราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ.2387

หลังถูกขับออกจากสยาม นายฮันเตอร์กลับไปที่อังกฤษ และเสียชีวิตในปี พ.ศ.2391

นายฮันเตอร์ ผู้ทำให้เกิดตำนานของแฝดสยามที่ดังไปทั่วโลก กัลยาณมิตรของอิน-จัน ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ที่ผ่านมานายฮันเตอร์คนนี้แหละคือเพื่อนคนเดียวที่ทำหน้าที่ส่งข่าวคราวระหว่างนางนากแม่ของแฝดที่เมืองแม่กลองกับอิน-จันในอเมริกา

ต่อไปนี้คงมืดมน ไม่ทราบข่าวคราวของแม่ในสยามเป็นแน่แท้ ความห่างเหินของแฝดสยามกับแผ่นดินสยามเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ขอนำท่านผู้อ่านย้อนอดีตกลับมามองสยามประเทศในช่วงนั้น ซึ่งบรรดาพ่อค้าชาวต่างชาติทยอยกันเข้ามาติดต่อทำมาค้าขายที่กรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยาคึกคักด้วยเรือสินค้าและชาวต่างชาติ ในหลวง ร.3 ท่านมีพระประสงค์ส่งเสริมการค้ากับทุกชาติ สยามร่ำรวยเงินทอง

มิชชันนารีอเมริกันเดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และรักษาพยาบาลชาวสยามที่เจ็บป่วยอย่างได้ผลชะงัก โดยเฉพาะการปลูกฝีป้องกันฝีดาษที่ชาวสยามเคยตายนับหมื่นคน

สาธุคุณแซมมวล เฮาส์ (Samual House) เข้ามาทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง สนิทสนมกับข้าราชการน้อยใหญ่ เดินทางไปหลายเมืองในสยาม ชาวสยามให้ความเคารพสาธุคุณเฮาส์ยิ่งนัก เลยเรียกท่านสะดวกปากว่าหมอเหา

วันที่ไม่อยากให้มาถึง ก็มาถึงจนได้…หนังสือ The Two ของ Irving Wallace and Amy Wallace อธิบายไว้ว่า : แฝดอิน-จัน ได้รับจดหมายจากหมอเหาที่ทำงานในสยาม 2 ฉบับ โดยที่ผ่านมาหมอเหาได้เดินทางไปรักษาคนป่วยที่เมืองเพชรบุรี และหมอเหายังได้แวะเข้าไปที่บ้านของอิน-จัน ที่แม่กลองด้วย

ฉบับแรก ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2392 แจ้งมายังแฝดอิน-จัน ว่า นางนาก แม่ของแฝดได้เสียชีวิตแล้ว และยังบรรยายถึงสภาพบ้านเรือน แพริมแม่น้ำแม่กลองที่แฝดอิน-จันเคยอาศัย ได้พบกับนายน้อยที่อยู่บ้านคนเดียว บ้านมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก

จดหมายฉบับที่ 2 เป็นจดหมายที่นายน้อย พี่ชายของอิน-จัน พูดเป็นภาษาไทยแล้วให้หมอเหาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แจ้งว่าพ่อเซ้งตายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2386 และต่อมา นางนากผู้เป็นแม่ตายเมื่อ 28 ธันวาคม 2390…ก่อนแม่เสียชีวิต แม่บ่นคิดถึงอิน-จันเสมอ อยากจะให้อิน-จันกลับมาทำบุญ มาเยี่ยม แล้วค่อยกลับไปอเมริกาก็ได้ อิน-จันจากแม่ไปนาน แม่ไม่เคยได้ข่าวคราวเลย อยากรู้ว่าลูกทั้งสองสบายดีหรือไม่อย่างไร พี่น้อยแก่มากแล้ว มีความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก ไม่มีใครช่วยเหลือดูแลเลย……

หัวใจสลายแหลกละเอียด ไม่มีการสูญเสียอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว อิน-จันลูกนางนากเคยได้ข่าวจากแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว พวกมิชชันนารีที่ไปทำงานในสยามเป็นผู้ส่งข่าว ที่ผ่านมาอิน-จันเคยได้รับข่าวว่าแม่อยากให้กลับมาเยี่ยมบ้าง แต่แฝดตัวติดกันคู่นี้ก็ไม่ได้ไปกราบแม่เลย มาคราวนี้ไม่มีแม่ให้กราบอีกแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไข พี่น้องร่วมสายโลหิตคงมีแต่ “พี่น้อย” ที่เดียวดายในกระต๊อบที่เมืองแม่กลอง พี่น้องที่เหลือ ที่สุดขอบฟ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หมดหนทางที่จะรับรู้

แฝดอิน-จัน บังเกอร์ บัดนี้คือประชาชนอเมริกัน มีครอบครัวใหญ่ มีลูกเต็มบ้าน มีที่ดินแปลงใหญ่ มีฐานะมั่นคงในนอร์ทแคโรไลนา มาถึงนาทีนี้ ถือว่าการกลับไปกราบแม่ กลับไปใช้ชีวิตที่เหลือในสยามเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน

ที่บ้านหลังใหม่ ณ เมาท์แอรี่ ครอบครัวของอิน-จัน ได้รับการยกย่องจากคนอเมริกันที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อราลีห์รีจิสเตอร์ (Raleight Register) บันทึกชมเชยไว้ คือการที่อิน-จันลงทุนสร้างอาคารแล้วให้ลูกหลานเรียนหนังสือ จ้างครูมาสอนหนังสือแบบมีมาตรฐาน แถมยังชักชวนให้เพื่อนบ้านในละแวกนั้นส่งลูกมาเรียนหนังสือด้วยกัน สิ่งเหล่านี้คือความเป็นผู้นำทางความคิด มีวิสัยทัศน์ เพราะชีวิตของแฝดและภรรยาก็ไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน

ปู่ทวดอิน-จัน บรรพบุรุษชาวสยามน่ายกย่องจริงๆ ครับ ข้อมูลสำคัญที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอิน-จัน และซาร่าห์ อาดีเลด บังเกอร์ คือในลูก 2 ท้องรวม 21 คนนั้นคลอดมา เป็นชาย 9 คน เป็นหญิง 12 คน ในจำนวนนี้มีลูก 2 คนหูหนวก และเสียชีวิต 2 คนตอนอายุราว 3 ขวบ

ข้อมูลตรงนี้แหละ เป็นอีกเรื่องที่สังคมคนผิวขาวในอเมริกาสนใจเป็นพิเศษ การแต่งงานระหว่างชายชาวเอเชียที่เป็นแฝดตัวติดกันกับหญิงผิวขาว แล้วลูกที่เกิดมาจะมีส่วนผสม มีหน้าตาเป็นอย่างไร? สีผม นัยน์ตาจะเป็นสีอะไร จะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่? จะคลอดลูกแฝดอีกมั้ย ลูกจะสมประกอบหรือไม่?

เป็นเรื่องจริงนะครับ ในสังคมที่มีมนุษย์หลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อยู่รวมกันในอเมริกา คำถามที่รุมเร้า โดยเฉพาะแพทย์ มีความอยากรู้อยากเห็นมากที่สุดคือ ถ้าคนเผ่าพันธุ์นี้ไปสมรสกับไอ้คนสายพันธุ์นี้ แล้วลูกที่เกิดมาจะมีความฉลาดมากน้อยแค่ไหน อายุจะยืนมั้ย แข็งแรงบึกบึนแค่ไหน?

ตุลาคม พ.ศ.2403 อิน-จันไปเซ็นสัญญาแสดงตัวเป็นเวลา 6 สัปดาห์ กับพี ที บาร์นัม ที่นิวยอร์ก ในจังหวะนั้นเจ้าชายอัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ของอังกฤษที่มาเยือนอเมริกาในขณะนั้น ยังได้เข้ามาชมการแสดงของอิน-จัน ซึ่งต่อมาท่านได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของอังกฤษ

เสร็จจากนิวยอร์ก นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่เดินทางด้วยเรือชื่อ Northern Light จากท่าเรือนิวยอร์กมุ่งหน้าออกทะเลเพื่อจะไปซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย การเดินทางครั้งนี้แฝดพาลูกชายชื่อมอนต์โกเมอรี่และแพทริกไปด้วย การเดินทางในยุคนั้นของอเมริกาจากตะวันออกไปตะวันตกต้องใช้เรือวิ่งลงทางทิศใต้ (ตามเข็มนาฬิกา) ไปที่ช่องแคบปานามา (ยังไม่มีคลองปานามา) ขึ้นรถไฟข้ามแผ่นดินตรงช่องแคบ ลงเรือเดินสมุทรต่อ แล้ววกขึ้นเหนือไปขึ้นฝั่งที่ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย (กรุณาดูแผนที่)

แคลิฟอร์เนียคือดินแดนทางตะวันตกของอเมริกา ที่ผู้คนกำลังแห่กันเข้าไปขุดทองคำ แฝดไม่ได้ไปขุดทอง แต่จะไปเอาเงินจากกระเป๋านักขุดทอง

การหวนกลับมาแสดงตัวทางภาคตะวันตกของอเมริกาเป็นไปด้วยความราบรื่น อิน-จันโดนสื่อโจมตีเล็กน้อยว่าการนำพาลูกขึ้นเวทีไปทำมาหาเงินด้วยเป็นการอาศัยลูกหากิน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร

ในช่วงที่แฝดและลูกๆ เดินทางด้วยเรือ เป็นเวลาเดียวกับการประกาศผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ผลปรากฏว่า อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐ

นโยบายหลักของลินคอล์นที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงคือ การเลิกทาสในอเมริกา

การโชว์ตัวของแฝดสยามวัยกลางคนพร้อมลูกหาเงินที่ซานฟรานซิสโก เป็นพื้นที่ที่ชาวจีนกำลังอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ได้รับการต้อนรับอย่างคึกคัก ทำรายได้พอสมควร โดยมีลูกชายคอยเขียนจดหมายกลับไปรายงานครอบครัวที่นอร์ทแคโรไลนาเป็นระยะๆ

ในระหว่างโชว์ตัวที่ซานฟรานซิสโก แฝดอิน-จันซึ่งมีทาสนิโกรผิวดำทำงานอยู่ในไร่ราว 30 คน เริ่มมีความกังวลไม่น้อยกับนโยบายการเลิกทาสของประธานาธิบดีลินคอล์นที่กำลังร้อนแรง เป็นประกายไฟของความขัดแย้งของรัฐต่างๆ ที่แบ่งกันเป็นรัฐฝ่ายเหนือที่สนับสนุนการเลิกทาส และรัฐฝ่ายใต้ที่สนับสนุนการมีทาส

อิน-จันเป็นเจ้าของทาส มีทาสเป็นกำลังหลักในการทำไร่

ทีมงานการแสดงของแฝดและลูกๆ ได้เงินกลับบ้านก้อนใหญ่ รีบลงเรือเดินทางกลับบ้านที่เมาท์แอรี่ ด้วยการย้อนเส้นทางเดิมที่ใช้เวลาขึ้นรถลงเรือแล้วขึ้นรถราว 20 วัน ในที่สุดครอบครัวบังเกอร์ก็กลับมาอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกอีกครั้ง

สงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ของอเมริกากำลังก่อตัว ใครจะรบกับใคร แต่ที่แน่ๆ แฝดสยามจากเมืองแม่กลองและครอบครัวได้เข้าไปนัวเนียเกี่ยวพันกับตำนานระดับโลกกะเค้าอีกจนได้

โปรดติดตามตอนต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image