นอมินีในเมืองไทย : โดย สมหมาย ภาษี

วันนี้ก่อนอื่นต้องขอสดุดีการจัดการแก้ไขเหตุการณ์ติดในถ้ำของ “13 หมูป่า” ที่เชียงรายสักหน่อย แม้เหตุการณ์ที่เป็นภารกิจใหญ่นี้จะได้รับการช่วยเหลือทั้งโดยชาวไทยและชาวต่างชาติจนประสบความสำเร็จลุล่วงไปตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม ก็ตามเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ทั่วโลกได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุการณ์ที่คนไทยร่วมกันเองและร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยเหลืออย่างจริงจังจากหลายประเทศ สร้างความประทับใจให้คนไทยทั้งชาติ และจะถูกจดจำสำหรับคนไทยยุคนี้ที่ไม่ค่อยมีเรื่องดีๆ แบบนี้ให้จดจำกันเท่าใดเลยไปอีกนาน

เท่าที่ได้ติดตามชมข่าวมากว่า 2 สัปดาห์ทุกวัน พบว่าไม่ใช่เฉพาะสื่อของไทยเท่านั้นที่ติดตามข่าวต่อเนื่องและออกเป็นข่าวทั้งใหญ่และสดทุกวัน สื่อดังๆ ระดับโลก เช่น สำนักข่าว CNN สำนักข่าวของจีน และโดยเฉพาะสำนักข่าว BBC ได้นำข่าวนี้ออกมาทางทีวีทุกวันร่วม 2 สัปดาห์ติดต่อกัน กำลังคิดว่าสำหรับประเทศไทยเราต่อไปไม่น่าจะมีข่าวใดที่สื่อต่างประเทศจะติดตามและประโคมกันแบบนี้ ถ้าจะมีก็ต้องเป็นการทำรัฐประหารอีกนั่นแหละ ซึ่งถ้ามีก็จะไม่สร้างความสุขและภูมิใจให้แก่คนไทยเหมือนกับความระทึกใจและความสุขที่ได้รับจากข่าว 13 หมูป่านี้แน่นอน

เหตุการณ์ครั้งนี้ต่างชาติถึงกับบอกว่าจะนำไปเป็นรูปแบบ (Model) เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับการกู้ภัยในถ้ำที่มีน้ำท่วม เพราะได้เข้ามาสัมผัสเรื่องของสังคมไทยอย่างใกล้ชิดมากมาย ไม่ใช่เฉพาะการช่วยเหลือเด็กๆ ทีมหมูป่าออกจากถ้ำ ไม่ใช่เฉพาะความอดทนและความแข็งแรงของเด็กไทย แต่เขายังได้สัมผัสความมีน้ำใจของจิตอาสาคนไทยทุกหมู่เหล่า ชาวบ้านก็เสียสละทุกอย่างที่พอจะช่วยเหลือได้ จะดูดน้ำไปท่วมไร่สวนของเขาก็ไม่ว่า

ยิ่งกว่านั้นยังมีประชาชนที่อาสาทำก๋วยเตี๋ยวและอาหารมาเลี้ยงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งไทยและเทศ มีการอาสารับซักรีดฟรีให้เครื่องแบบและเสื้อผ้าทุกคนที่มาช่วยงาน และยังมีอะไรต่อมิอะไรที่หาดูได้ยาก ซึ่งผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ไปประสบพบเห็น จึงเป็นที่น่าภูมิใจยิ่งนัก โดยเฉพาะท่านอดีตผู้ว่าฯเชียงราย คุณณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ท่านคงจำเหตุการณ์ครั้งนี้กับความเหนื่อยยากและความมุ่งมั่นของท่านในการช่วยทีมหมูป่าไปตลอดชีวิต แสดงให้เห็นว่าคนดีในสายปกครองที่ตั้งใจทำคุณให้แผ่นดินด้วยใจจริงยังมีอยู่

Advertisement

ฝ่ายทหารก็เข้ามาช่วยสุดจะปลื้ม โดยเฉพาะหน่วยซีล (Seals) แห่งราชนาวีไทย จนกระทั่ง จ่าสมาน กุนัน มือดีของหน่วยนี้ต้องมาเสียชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย

พร้อมๆ กับเหตุการณ์ติดในถ้ำของทีม 13 หมูป่าแล้ว ในช่วงเดียวกันนี้ เมื่อช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม ก็ได้เกิดโศกนาฏกรรมที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งในประเทศไทย คือการที่เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวที่ไปดำน้ำชื่อ “ฟีนิกซ์” ถูกกระแสคลื่นแรงขนาด 4 เมตร ที่เกิดจากลมมรสุมที่รุนแรงมาพัดจนพลิกคว่ำแถวใกล้ๆ เกาะเฮ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเกาะภูเก็ตนัก ในเรือลำนั้นมีผู้โดยสาร 89 คน พร้อมลูกเรือ 12 คน รวมเป็น 101 ชีวิต อุบัติเหตุครั้งนี้มีนักท่องเที่ยว ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นคนจีนเสียชีวิตอย่างน้อย 44 คน จริงๆ

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นมีเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวขนาดเล็กอีกลำหนึ่งได้ประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กัน แต่สามารถช่วยเหลือจนไม่มีผู้ใดถึงแก่ชีวิต ยิ่งกว่านั้นได้ทราบมาว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ เครื่องบินโดยสารของสายการบินต่างๆ ที่จะนำผู้โดยสารไปลงที่สนามบินนานาชาติภูเก็ตจำนวนถึง 9 ลำ ไม่สามารถนำเครื่องไปลงได้บางลำต้องไปลงจอดชั่วคราวที่สนามบินสุราษฎร์ บางลำต้องกลับมาจอดชั่วคราวที่สุวรรณภูมิหรือดอนเมือง และบางลำต้องบินว่อนอยู่เหนือเกาะภูเก็ตและใกล้เคียงเกือบชั่วโมง ถือได้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่ฟ้าดินบันดาลให้เกิดเภทภัยจนเกิดการเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรง

Advertisement

ต่างกับเหตุการณ์ทีมหมูป่าติดในถ้ำที่เชียงราย เหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มในทะเลภูเก็ตนี้กลับได้รับกระแสวิจารณ์จากสื่อหนังสือพิมพ์และจากสื่อออนไลน์ลักษณะที่เป็นลบต่อประเทศชาติไม่ใช่น้อย สาเหตุจะมาจากอะไรไม่ทราบได้ จะเป็นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดของภูเก็ตไม่มีสมรรถภาพเท่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงแก้ปัญหาไม่ค่อยเด็ดขาดและตรงประเด็น หรืออาจจะเป็นเพราะมีระดับรองนายกรัฐมนตรีไปพูดให้ความเห็นผิดหูประชาชี ก็ไม่อาจทราบได้

แต่เหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวที่ชื่อ “ฟีนิกซ์” ล่มกลางทะเลครั้งนี้ได้บอกให้สังคมไทยได้รู้เห็นของจริงหลายอย่าง ที่ไม่เป็นเรื่องที่ดีของการบริหารจัดการประเทศ ที่ควรที่จะต้องพูดให้รู้ให้กว้างขวางขึ้นเพื่อให้รัฐบาลดูแลแก้ไขต่อไป

ประเด็นที่พูดกันจากภัยพิบัติเรือล่มที่ภูเก็ตครั้งนี้ คือการชี้ให้เห็นถึงบริษัทที่ประกอบธุรกิจเดินเรือดังกล่าว
โดยสื่อออนไลน์ว่าเป็นบริษัทของนักลงทุนชาวจีนที่มีคนไทยเป็น “นอมินี” หรือที่แปลว่าตัวแทนนักลงทุนต่างชาติอยู่ข้างหน้า ครั้นเมื่อสอบถามจากผู้อยู่ในวงการที่ใกล้ชิดก็ได้ความว่า จริงๆ แล้วนักลงทุนจีนก็ยังคงปฏิบัติหรือดำเนินธุรกิจตามแบบทัวร์ศูนย์เหรียญนั่นแหละ คือนับตั้งแต่นักท่องเที่ยวจีนนั่งเครื่องของสายการบินจีน เข้ามามีส่วนใช้บริการงานทัวร์รับส่งก็เป็นบริษัทของจีน ไกด์ที่เข้าไปดูแลก็เป็นคนจีน โรงแรมที่พักก็เป็นของนายทุนจีน จะทานอาหารก็ไปร้านของจีน ไปเที่ยวเกาะดำน้ำก็ใช้เรือของนายทุนจีน จะเข้าไปช้อปปิ้งร้านจิวเวลรีประเภทของประดับมีค่า ก็เป็นร้านใหญ่โตที่ลงทุนโดยคนจีน ซึ่งเรื่องเช่นนี้ก็เป็นของจริงทั้งหมด

ไม่ใช่จีนชาติเดียวเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ ประเทศรัสเซียก็ทำคล้ายกัน ปัจจุบันนี้ก็มีสายการบินรัสเซียประเภทเหมาลำบินตรงขนนักท่องเที่ยวเข้าภูเก็ตทุก 3 วัน เพียงแต่ว่าธุรกิจของนายทุนรัสเซียไม่ครอบคลุมทุกแขนงเหมือนจีน ปัจจุบันนี้คนอินเดียจากเมืองใหญ่ก็นิยมมาเที่ยวที่ภูเก็ตกันมาก อีกหน่อยก็คงเลียนแบบนักธุรกิจจีนบ้าง ธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองไทยจึงนับว่าเป็นธุรกิจที่มีนอมินีมากที่สุดในขณะนี้

ความยินดีปรีดาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวไทย โดยรัฐบาลปล่อยปละละเลยกับการยอมให้ชาวต่างชาติเข้ามาหากินอย่างสะดวกสบายเช่นนี้ น่าจะมีเฉพาะประเทศไทยเราเท่านั้น ได้ทราบว่าชาติอาเซียนอื่น เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ หรือแม้แต่ประเทศจีนนั้น เขามีการคุมเข้มกว่าประเทศไทยมาก เขามีกฎเกณฑ์การอนุญาตให้ต่างด้าวเข้ามาทำงานชัดเจนและดีกว่าเราหลายเท่า เมื่อมีกฎเกณฑ์แล้วข้าราชการของเขาดูแลและตรวจตราตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากคนไทยที่เปิดร้านอาหารและธุรกิจต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน เขาเล่ากันว่าทำยากมาก

การปล่อยให้เป็นกิจการเถื่อนเกลื่อนเมืองแล้วมีคนของภาครัฐจ้างนอมินีไปเก็บส่วยรายเดือนแบบไทยนั้นไม่มี

การดำเนินการให้นอมินีในประเทศไทยอยู่กับร่องกับรอยเหมือนประเทศ อื่นๆ เขานั้น เห็นท่าจะยาก เริ่มต้นต้องมองไปที่กฎหมายของไทยที่ดูแลเรื่องนี้ ก็แทบจะกล่าวได้ว่า ถ้าจะให้ได้เรื่องที่รัดกุมต้องทำการแก้ไข และต้องออกกฎหมายใหม่ที่มีประสิทธิภาพอีกพอสมควร การปฏิรูปด้านกฎหมายของไทยเห็นทีจะยาก เพราะนักกฎหมายที่ว่าเก่งก็ทำแต่เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายด้านการปกครองเสียหมด อีกพวกถ้าเป็นนักกฎหมายเอกชนก็ต้องดูแลเรื่องรักษาผลประโยชน์ ตลอดทั้งเรื่องเลี่ยงกฎหมายให้นักธุรกิจทุกแขนง ไปๆ มาๆ ประเทศนี้ต้องอยู่กับกฎหมายที่ล้าสมัยไปตลอด

ส่วนในภาคปฏิบัติ เจ้าของเรื่องในการกำกับดูแลเรื่องนอมินีนี้ ก็คือหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ ก็เห็นทำได้อยู่แค่นี้ คือคุมแบบหลวมๆ คุมเข้มไม่ค่อยเป็น ส่วนหน่วยงานจับกุมปราบปรามและด้านความมั่นคง ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าส่วนใหญ่คอยเอาใจใส่ดูแลเพื่อรักษากิจการให้คนไทย หรือไปเป็นหุ้นส่วนหรือนอมินีเพื่อคอยดูแลผลประโยชน์ให้คนต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันดูเหมือนว่ามีคนไทยเข้าไปร่วมขบวนการหาผลประโยชน์ร่วมกับต่างชาติ มากกว่าคนที่ดูแลรักษาสมบัติให้ชาติเราเอง เห็นแล้วทำให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายและอดคิดไม่ได้ว่าประเทศเราจะต่ำต้อยลงไปเรื่อยๆ

มองไปลึกๆ แล้ว จะโทษคนไทยสมัยนี้ว่ารักชาติน้อยลงอย่างเดียว ก็ไม่น่าจะใช่เสียทีเดียว เพราะในคณะรัฐมนตรีปัจจุบัน ดูผ่านๆ แล้วจะหาคนที่มีความตั้งใจรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างจริงจังก็ยังยาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image