สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ 3.พระอุปคุตหรือพระบัวเข็มผู้ปราบพญามาร (ตอนที่ 1) โดย : เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ผมไม่ใช่พวก “พระเครื่องนิยม” ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง และไม่นิยมแขวนพระ แต่ก็ประหลาด ผมมีพระเครื่องมากที่สุดคนหนึ่ง คนนั้นให้บ้าง คนโน้นให้บ้าง ได้มาก็เอาใส่พานตั้งไว้ที่ห้องพระ พอนานเข้าพานใส่พระต้องเปลี่ยนใหญ่ขึ้นๆ กระนั้นก็ยังเต็ม

เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่าถ้าในพานนั้นมีพระสมเด็จแท้สักหนึ่งองค์จะ “ดูด” องค์อื่นๆ มาโดยอัตโนมัติ พูดยังกับเป็นศิษย์คุณไชยบูลย์ เจ้าของไอเดีย “พระดูดทรัพย์” แน่ะ ฮิฮิ

ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางพระพุทธศาสนา ผมรู้สึกจะถูกสัมภาษณ์โดยหนังสือพิมพ์บ้าง วิทยุบ้าง ทีวีบ้าง บ่อยๆ บางทีเราก็พูดออกไปแรงๆ จนผู้ที่เคารพนักถือบางท่านเกรงจะมีภัยก็ถอดพระถอดเหรียญจากคอตนมาให้ผมบูชา “เอาไว้ป้องกันภัย” ท่านว่าอย่างนั้น

แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็เมตตาให้พระมาคุ้มครอง พระไม่เต็มพานบัดนี้จะเต็มบัดไหนเล่าครับ
เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนาได้จัดงานแสดงมุทิตาจิตแก่ผม ที่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ท่านประธานในพิธีได้กรุณามอบพระให้องค์หนึ่งขนาดย่อมๆ เป็นรูปพระพุทธสาวก นั่งสมาธิแหงนหน้า อุ้มบาตร มือขวาทำท่าล้วงบาตรทางเหนือเรียกว่า ท่า “จกบาตร”

Advertisement

ทีแรกนึกว่าเป็นพระสีวลีเถระ แต่ท่านบอกว่าเป็นพระอุปคุต หรือพระบัวเข็ม ตามตำนานทางมหายาน พระอุปคุตมีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่สาม สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชคือท่านได้ช่วยปราบพญาวสวัตตีมาร ที่มาทำลายงานฉลองเจดีย์แปดหมื่นสี่พัน จนพญามารยอมแพ้ ว่ากันอย่างนั้น

พระอุปคุต ท่านจำพรรษาอยู่ใต้ทะเล หรือ “สะดือทะเล” นานๆ จะขึ้นมาสู่โลกสักครั้งหนึ่ง ชาวไทยภาคเหนือภาคอีสาน รวมพม่าด้วย จะคอยใส่บาตรท่าน ในคืนวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เชื่อกันว่าท่านบิณฑบาตกลางคืน ว่าอย่างนั้น

ไม่รู้ว่าความเชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดในวงการพระเครื่องจึงเรียกรูปหล่อรูปปั้น หรือพระพิมพ์ของท่านว่า พระบัวเข็ม เห็นจะต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจแล้วละครับ

Advertisement

ตำนานทางฝ่ายเถรวาท มิได้พูดถึงพระอุปคุตว่ามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีแต่ตำนานของฝ่ายมหายาน หรืออาจจะมาจากสรวาสติวาทินก็ได้

พูดอย่างนี้ ถ้าไม่ขยาย ผู้อ่านก็อาจไม่กระจ่าง คืออย่างนี้ครับ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 3 พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย เพราะพระเจ้าอโศกทรงทะนุบำรุงอย่างดี พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ อยู่ดีสบาย จึงมีพวกนอกศาสนา อันศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า “อัญเดียรถีย์” (แปลว่าผู้นับถือลัทธิอื่น) หวังอยากสบายบ้าง จึงพากันมาปลอมบวช คือบวชเอาเอง บวชมาแล้วก็ไม่ศึกษาปฏิบัติ แสดงธรรมผิดๆ ถูกๆ พระสงฆ์ผู้ทรงศีลรังเกียจ ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วย

พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาจะเห็นพระสงฆ์สามัคคีกันจึงรับสั่งให้มหาอำมาตย์คนหนึ่งไป “จัดการ” ให้เรียบร้อย เจ้าหมอนี่แทนที่จะจัดการให้เรียบร้อย กลับสร้างความวุ่นวาย คือแกตัดคอพระเถระ ที่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับพวกอัญเดียรถีย์ไปหลายองค์

พระเจ้าอโศกปรารถนาจะ “ล้างบาป” จึงให้ความสนับสนุนพระมหาเถระ อันมีโมคคัลลีบุตรเป็นประธาน กระทำสังคายนาคือ “ชำระสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์” หลังสังคายนาเสร็จก็ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน ดังที่ประเทศสยามก็ได้มีพระโสณะกับพระอุตตระเดินทางมาสมัยโน้นเรียกว่า สุวรรณภูมิ ศูนย์กลางสุวรรณภูมิว่ากันว่าคือ นครปฐม ปัจจุบันนี้เอง

ในการทำสังคายนาครั้งนี้ไม่มีชื่อพระอุปคุต หรือมีแต่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ได้ แต่จากหลักฐานของฝ่ายมหายานนั้นมีแม้กระทั่ง พระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็มีกล่าวถึงพระอุปคุตเช่นกัน

ความว่า นาคถูกครุฑไล่ตาม นาคไปขอร้องให้พระสงฆ์ช่วย ไม่มีรูปใดมีฤทธิ์พอจะปราบได้ บังเอิญเณรน้อยรูปหนึ่งรับอาสาไล่ครุฑไปได้ จึงปรากฏชื่อเสียงโด่งดัง

พอพญาวสวัตตีมารจะมาทำลายพิธีเฉลิมฉลองพระเจดีย์ และสังคายนาครั้งที่สามที่พระเจ้าอโศกทรงอุปถัมภ์ เมื่อทราบว่าเณรน้อยมีฤทธิ์มาก จึงไปขอให้เณรน้อยช่วยปราบ เณรน้อยบอกว่าตนไม่สามารถปราบพญามารได้มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะปราบได้ และรับอาสาไปนิมนต์พระอุปคุตให้ขึ้นมาจากสะดือทะเลมาช่วย

เมื่อพระอุปคุตมาแล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลมิให้พญามารมารบกวนพิธี

มารบอกว่า อุปคุตอุปแค็ตข้าไม่กลัว ข้านี้คือพญามารนะจ๊ะ พระอุปคุตก็ปรามว่า “พระสงฆ์และพระราชากำลังทำสังคายนานะจ๊ะมารอย่ายุ่ง”

กำลังจะเข้าฉากต่อสู้แล้ว แต่อดใจไว้ก่อน โปรดติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image