เกิดเหตุน่าตกใจ เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ ABC Laos news รายงานเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่าบริษัท PNPC บริษัทผู้สร้างเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย แจ้งเตือนให้ประชาชนใน 6 หมู่บ้าน พื้นที่ใต้เขื่อน อพยพขึ้นที่สูงโดยด่วน หลังเกิดเหตุสันเขื่อนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแตก ส่งผลให้มวลน้ำปริมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักลงแม่น้ำเซเปียน เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศลาว มีผู้สูญหายหลายร้อยราย และเริ่มพบผู้เสียชีวิต
วันเดียวกัน สถานี “โทรภาพแห่งชาติ” สปป.ลาว รายงานข่าวโดยสัมภาษณ์ผู้อำนวยการโทรภาพแขวงอัตตะปือว่า ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ แต่มีประชาชนแจ้งพลัดหลงกับครอบครัว ขณะที่กลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล รีฟเวอร์ส ซึ่งเป็นกลุ่มทำงานในการพิทักษ์ปกป้องแม่น้ำและสิทธิของชุมชนที่อาศัยอยู่ตามลำน้ำ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า อุบัติเหตุครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของเขื่อนที่ไม่สามารถรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้ายรุนแรงได้ และยังแสดงให้เห็นถึงการมีระบบเตือนภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอที่แจ้งเตือนประชาชนให้ปลอดภัย
ทางด้านนายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ให้สัมภาษณ์ว่า สันเขื่อนดินย่อยส่วนดีของเขื่อนแตก เนื่องจากปริมาณน้ำมากเกินกำหนดจากเหตุฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนในเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ ของ สปป.ลาว ทั้งนี้ เขื่อนดินย่อยส่วนดี เป็น 1 ใน 5 เขื่อนย่อยที่อยู่ล้อมรอบเขื่อนหลักที่ผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบกับเขื่อนหลัก และเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อกำหนดการเริ่มจ่ายไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
การสร้างเขื่อนเป็นข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่ต้องการบริหารจัดการน้ำ กับฝ่ายที่ต่อต้านมาโดยตลอด การสร้างเขื่อนถือหลักประกันความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการเขื่อนจึงมีขั้นตอนความปลอดภัย มีการเตือนภัย การอพยพ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ใช้การไม่ได้ผล จึงเกิดความสูญเสียและเกิดความเสียหาย จำเป็นต้องแสวงหาสาเหตุ ทบทวน และปรับปรุงมาตรการต่างๆ กันใหม่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อน เพราะทุกๆ ความผิดพลาดหมายถึงชีวิตของผู้คน จึงไม่ควรเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแม้แต่น้อย
