⦁…คึกคักกับละห้อยเหี่ยว ดูจะเป็นอารมณ์ที่สลับไปสลับมาสำหรับประชาราษฎรทั้งหลายที่ฝากความหวังไว้กับ “การเลือกตั้ง” ด้วยทั้งที่ “กติกา” และ “เครื่องอำนวยชัยชนะทั้งหลาย” จะทำให้มี “พลิก” สำหรับ “กลุ่มที่จะเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง” เป็นไปได้ยาก ทว่า “ได้เปรียบทุกประตูขนาดนั้น” การวางหมากของ “ฝ่ายที่เหนือกว่า” ยังเน้นที่ “รอบคอบ” อย่างถึงที่สุด ชนิดไม่มีเปิดทางให้ฝ่ายตรงกันข้ามมีโอกาสแม้น้อยนิด ความเคลื่อนไหวที่ดู “คึกคัก” จึงเป็นของฝ่ายหนึ่งที่ “ทางเปิดโล่ง” ให้เล่นอย่างเต็มที่ ส่วนอีกฝ่าย “ยังไม่ได้รับการอนุญาตให้ขยับ” ไม่ว่าจะยกเหตุผลมาชี้ให้เห็นความไม่เป็นธรรมมากมายแค่ไหนก็ตาม
⦁…บริหารประเทศไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับที่ว่าไว้เมื่อแรกเข้ามาจริงๆ หลังทำงานมา 4 ปีกว่า รอคอยการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิง “ชื่นชมยินดี” มายืดยาว แต่จนป่านนี้ยัง “ไม่ค่อยได้สัมผัส” ทำให้ “ชีวิตไม่แฮปปี้” วิธีแก้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือประกาศ “เลิกสนใจเสียงวิจารณ์” เลือกจะกล่อมอารมณ์แบบ “สุขนิยม” กับเสียงของคนรอบข้าง ที่หวังได้ใน “ชื่นชม” มา “ชูใจ” พลิกมุมแค่นี้ “ความสุข” ก็เกิดขึ้นทันที “มันจะยากอะไร”
⦁…เปราะบางอย่างยิ่ง สำหรับอารมณ์ผู้คนร่วมสังคมยุคนี้ “คำพิพากษา” ไม่ได้ดั่งใจ “ยกฟ้องจำเลยในคดีที่ลูกชายถูกแทงตาย” กดดันให้ “พ่อกระโดดตึกศาลฆ่าตัวตาย” เหมาะควรหรือไม่อย่างไร ก็ว่ากันไป แต่ที่ชัดเจนยิ่งคือ “ความอ่อนไหว” ต่อการอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาที่ลึกมากกว่า “จะแสดงความคิดความเห็นกันด้วยสามัญสำนึกปกติ”
⦁…หลังเดินหน้าขายความคิดเรื่อง “ลูกขุนรัฐสภา” หรือ “คณะตัดสินคำอภิปรายของ ส.ส.ในสภา” ขึ้นมา มีคนถามถึง “สัญญา สถิรบุตร” ถี่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดี ด้วยยุคสมัยเช่นนี้ “ช่วยกันคิด” ย่อมดีกว่า “งอมืองอเท้ายอมจำนนตามคำสั่ง” และด้วยเหตุที่มี “เจตนาชัด” ว่า “วงจรอุบาทว์การเมืองไทย” ที่เวียนสลับ “เลือกตั้ง” กับ “รัฐประหาร” จึงสมควรช่วยกันคิดให้ถึงที่สุดแล้ว “ลูกขุนรัฐสภา” ถูกทำให้เป็นวาระที่วิเคราะห์กันให้ลึกลงไป ในอีกหลายแง่มุม
⦁…ควันหลงจาก “เด็กๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมี่ติดถ้ำ” ที่ผลสะเทือนยังไม่หยุด เนื่องจากเรื่องราวที่ถูกสื่อสารในแง่มุมต่างๆ ออกมาเป็นระลอก ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายควรจะมีท่าทีต่อประเด็นทั้งหลาย อย่างมีวุฒิภาวะ เข้าใจในมุมมองที่หลากหลาย ที่สำคัญ “สถานการณ์เลวร้ายที่ทั้งโลกร่วมกันกอบกู้อย่างทุ่มเท” นั้น ไม่อยากที่จะเอาแค่คิด “เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” ตัดสินความดี ความถูก เอาตามทัศนคติตัว โดยเฉพาะแบบ “เคยชินกับการใช้อำนาจ” ปัญญาที่มาจาก “ความรู้ที่ครบถ้วนรอบด้าน” ย่อมเป็นประโยชน์กว่า “มุมมองที่คับแคบเพราะหลงในตัวเอง” เสมอ
⦁…บ้านพี่เมืองน้อง “น้ำใจไทย” หลั่งไหลช่วย “เพื่อนลาว” ที่เสียหายหนักจาก “เขื่อนแตกที่อัตตะปือ” ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าเรื่องน้ำจิตน้ำใจช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้กับผู้ได้รับทุกข์ “ไทย-ลาว” มีน้ำใจเป็นเช่นเดียวกัน หลังจากนี้คงต้องทบทวนกันครั้งใหญ่ ถึง “ความปลอดภัยของเขื่อน” ที่สร้างกันมากมายในช่วงหลัง ตามยุทธศาสตร์ “แบตเตอรี่อาเซียน”
⦁…เรื่องราวในแวดวงการศึกษา ชวนสลดหดหู่ไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะ “พฤติกรรมของครู” ที่นับวันยิ่งสะท้อนจิตสำนึกด้านจริยธรรมไปในทางเลวร้ายอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือ “สังคมไทย” เหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง เกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็ตื่นเต้นกันทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เงียบหาย โดยไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาหาทางวางระบบแก้ไข ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก “ครูกลายเป็นผู้สร้างความเลวร้ายให้ชีวิตเด็กกันเป็นปกติ” เสียแล้ว โดยที่ “ฝากชีวิตลูกหลานไว้กับโรงเรียน” ย่อมมีแต่ว้าเหว่
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่