เมษาฯอากาศร้อน โดย วีรพงษ์ รามางกูร

สงกรานต์ปีนี้ อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาในรอบหลายปี ประกอบกับหน้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เป็นเหตุให้น้ำในเขื่อนทุกเขื่อนมีน้ำน้อยกว่าเกณฑ์ปกติเป็นอันมาก เพราะเหตุที่มีคาดการณ์ผิดเมื่อ 2 ปีก่อน ปล่อยน้ำในเขื่อนออกเพราะกลัวน้ำจะท่วมกรุงเทพฯเป็นรอบที่ 2 จากการที่มีน้ำท่วมใหญ่

ฟ้าฝนก็เป็นอย่างนี้ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าฝนจะตกมากหรือน้อย จนกว่าจะถึงเวลาจริงๆ แต่ที่น่าแปลกก็คือปีนี้แม้น้ำจะน้อยและมีการตัดน้ำที่จะส่งให้ชาวนาทำนาปรัง เพื่อเก็บน้ำไว้ไล่น้ำเค็มและเก็บไว้เพื่อการอุปโภคบริโภคของคนในเมือง คนในเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่มีความรู้สึกว่าปีนี้เป็นปีที่ผิดปกติ ฝนตกน้อย น้ำในเขื่อนมีน้อย และอาจจะจ่ายน้ำให้คนในกรุงได้ไม่ชนฤดูฝนของปีหน้า คนในเมืองจึงใช้น้ำเหมือนปกติในการอุปโภคบริโภค รดน้ำต้นไม้ สนามหญ้า เปลี่ยนน้ำในสระว่ายน้ำตามปกติ อาจจะเป็นเพราะทางการประชาสัมพันธ์น้อยไปก็ได้

ในขณะเดียวกันชาวไร่ชาวนาแม้ว่าจะมีการประกาศว่าไม่สามารถปล่อยน้ำให้ชาวนาทำนาปรังได้ ถ้าขืนปลูกข้าวนาปรังก็ต้องเสี่ยงเอาเอง ทางการไม่สามารถรับผิดชอบได้ แต่ชาวนาก็ไม่สนใจทำไร่ทำนาปรังไปตามปกติ และยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเมื่อถึงเวลาข้าวตั้งท้องแล้ว ถ้าทางกรมชลประทานไม่ปล่อยน้ำมาให้แล้วจะทำอย่างไร ยังไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาอย่างไรสำหรับชาวนา แต่ทุกครั้งใครที่ไม่เชื่อทางการก็มักจะได้ดี ใครเชื่อทางการก็เสียผลประโยชน์เพราะทางการพยากรณ์ผิดทุกที

ราคาข้าว ราคายางพารา ราคาอ้อยและน้ำตาล ราคามันสำปะหลัง ข้าวโพด ต่างก็แห่ลดราคาลงหมด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องหรือเสียงกดดันทางการว่าต้องการความช่วยเหลือ ถ้านั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯก็จะรู้สึกว่าทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี บ้านเมืองเป็นปกติสุข ไม่เหมือนตอนมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ป่านนี้คงอยู่ไม่สุขแล้ว อาจจะโดนม็อบโน่น ม็อบนี่จนนั่งไม่ติดแล้ว

Advertisement

ข้อมูลตัวเลขการส่งออกหดตัว หรืออัตราการขยายตัวติดลบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกสินค้าจากภาคเกษตรกรรม หรือจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งน่าจะทำให้มีการปลดคนงาน หรือลดชั่วโมงการทำงานลง การรับแรงงานทำงานประจำไม่มี มีแต่การรับแรงงานรายวัน แรงงานก็ต้องรับเพราะการจ้างงานประจำไม่มี แรงงานต่างชาติก็ทยอยกลับบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานก่อสร้างเพราะงานไม่มี ที่ยังเหลืออยู่ก็เห็นแต่งานผู้ช่วยแม่บ้านและคนดูแลคนแก่คนเฒ่า เดี๋ยวนี้มีมากขึ้นเพราะคนไทยอายุยืนยาวขึ้น

แต่ที่ยังคึกคักอยู่และมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของเราไว้ก็คือ การท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ล้นมาจากฮ่องกง ไต้หวัน และที่อื่นๆ แม้ว่าจะมีบางส่วนเป็นชาวจีนที่ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ อาจจะทำอะไรขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมาสร้างความเสียหายอะไรมาก พอรับกันได้ แม้จะเป็นทัวร์หนึ่งเหรียญหรือสองเหรียญก็ยังดีกว่าไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย ขณะนี้ไปไหนก็พบแต่คนจีน แม้แต่ตลาดสด ตลาดนัด ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ

แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า สำหรับพวกเราที่เป็นราษฎร ผู้อยู่ใต้การปกครอง ว่าจะได้รับสิทธิเสรีภาพมากน้อยเพียงใด เพราะไม่อาจจะเรียกร้องอะไรได้ว่าต้องการรัฐธรรมนูญแบบใด ต้องการถูกปกครองแบบไหน ถ้าไม่ชอบการถูกปกครองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเข้มงวดเกินไปก็ควรออกไปอยู่ต่างประเทศ เขาว่าอย่างนั้น

Advertisement

ที่แปลกก็คือต้องออกไปลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชุมเพิ่งจะร่างเสร็จ ที่มีบทเฉพาะกาล สำหรับ 5 ปีแรกเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ให้อำนาจวุฒิสภา ประชุมร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร เลือกนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญเขียนว่า รัฐสภาเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวน 500 ที่นั่ง วุฒิสภามี 250 ที่นั่ง รวมเป็น 750 ที่นั่ง วุฒิสภานั้นก็จะออกเสียงตามที่รัฐบาลต้องการอยู่แล้ว เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 375 นั้นต้องการเสียงจากสภาผู้แทนราษฎรเพียง 125 เสียง จาก 500 ก็พอแล้ว วุฒิสภาจึงจะเป็นเสียงข้างมากโดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง รัฐบาลก็จะกลายเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบทันที

การลงประชามติครั้งนี้ไม่ว่าราษฎรจะลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็คงมีผลทางกฎหมายเหมือนกัน กล่าวคือถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ก็จะมีการเลือกตั้งเร็วขึ้นประมาณปลายปี 2560 ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ นายกรัฐมนตรีก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่อยู่ดี แต่ไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญที่จะหยิบมาใช้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร อาจจะหน้าตาคล้ายรัฐธรรมนูญปี 2548 หรือปี 2550 หรือปี 2557 ก็ได้ไม่มีใครทราบ มีทราบอยู่คนเดียวแต่ไม่ยอมบอกใคร ราษฎรจึงเหมือนกับคนถูกปิดตา เข้าห้องน้ำแล้วให้เดินไปนั่งบนโถส้วมเอาเอง

ฟังๆ ดูชาวบ้านทั้งที่กรุงเทพฯ, ภาคใต้, เหนือ และอีสาน ส่วนใหญ่จะสงวนท่าทีไม่อยากพูดคุยเรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่อยากพูดคุยเรื่องการเมือง ไม่เหมือนสมัยที่มีเลือกตั้ง พอนั่งลงในวงรับประทานอาหาร ในวงเหล้า เรื่องที่จะคุยกันก็จะเป็นเรื่องการเมือง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ขณะนี้มีอยู่ฝ่ายเดียว คือฝ่ายเงียบกับฝ่ายไม่พูด ซึ่งเป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง

เมื่อตอนไปเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่อเมริกา เคยลงทะเบียนเรียนวิชาระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และระบบเศรษฐกิจของรัสเซีย สิ่งที่สำคัญที่สุดของระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ก็คือ ต้อง “ล้างสมอง” คนในระบบให้หมด โดยการจัดหลักสูตรให้คนไปเข้าโรงเรียนเปลี่ยนทัศนคติ หรือที่เรียกว่า “Reeducation Camps” ประเทศเพื่อนบ้านเราก็เคยมี แต่เรียกว่าให้ไป “สัมมนา” เมื่อเข้าโรงเรียนแล้วยังมีความเห็นแตกต่างหรือไม่ยอมปรับหรือเปลี่ยนทัศนคติ เป็นสังคมนิยม ต้องให้ถูกวินิจฉัยว่า “บ้า” หรือ “เสียสติ” ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตต่อไป ไม่ทราบว่าเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว โครงการปรับทัศนคติของรัสเซียยังคงมีอยู่หรือไม่ และคนที่ถูกเข้าโรงเรียนปรับทัศนคติของรัสเซีย สมัยสตาลินหรือครูสชอป ยังมีทัศนคติอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว

ผลประชามติผ่านกับประชามติไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะให้ประชาชนไปลงประชามตินั้น มีผลทางการเมืองต่างกันมาก กล่าวคือ ถ้าประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็จะความชอบธรรมทันที ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ร่างหรือไม่ว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร หากจะมีการแก้ไขก็คงทำได้ยาก เพราะต้องผ่านประชามติให้แก้ไข ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามโรดแมป หรือทางเดินที่วางเอาไว้ นายกฯจะมาจากคนในหรือคนนอกก็ได้ แต่ถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แต่มีการหยิบรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้ การจะอ้างความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญก็คงทำไม่ได้ หรือทำได้ก็คงจะยุ่งยาก การแก้ไขก็คงไม่ยากในการชี้แจง เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน

 

ผลของการลงประชามติรับหรือไม่รับ ประชามติผ่านหรือไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงมีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเมืองไทยในระยะจากนี้ไป ข้อสำคัญก็คือ อย่าเข้าใจว่าคนในชนบทในต่างจังหวัดไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจการเมือง ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย ถูกหลอกให้ขายเสียงได้ง่าย ความจริงแล้วคนกรุงเทพฯและคนในเมือง รวมทั้งกลุ่มคนในศูนย์อำนาจต่างหาก ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย คิดว่าตนฉลาด มีความรู้ มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเมืองการปกครอง หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับประเทศชาติ มากกว่าชาวบ้านในชนบทในต่างจังหวัดซึ่งเป็นความคิดที่ผิด

ทุกวันนี้เกือบทุกบ้านเกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ผู้คนกำลังเข้าแถวเปลี่ยนโทรศัพท์เปลี่ยนซิม จาก 2จี เป็น 3จี ที่สามารถเล่นไลน์ หรือเฟซบุ๊กในกลุ่มและนอกกลุ่มของตนได้ ทุกคนสามารถหาข่าวสารบ้านเมืองทั้งในและต่างประเทศได้ จากโทรศัพท์มือถือ 3จี ได้ทุกคน ไม่ต้องรออ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือคอยฟังจากวิทยุ หรือโทรทัศน์ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอเวลาข่าว ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือเหตุผล ความเห็นต่างๆ คนในชนบทโดยเฉพาะอย่างคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจติดตามและมีทัศนคติที่แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนเป็นอันมาก โดยที่คนในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ ที่มีฐานะดี มีการศึกษาสูงไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสังคม

การปรับตัวของคนในสังคมเมืองยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองของโลก และโครงสร้างประชากรของประเทศ ซึ่งเปลี่ยนไปมาก โครงสร้างทางอำนาจยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ยังคงดำรงอยู่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง จึงเกิดความกดดันอยู่ภายในที่มองไม่เห็น เหมือนกับเอากระป๋องน้ำที่ไม่มีรูไปตั้งบนไฟ รอเวลาที่กระป๋องจะระเบิด เมื่อกระป๋องระเบิดก็ไม่มีใครทราบว่าจะออกมาในรูปใดเพราะไม่มีใครบังคับได้

ที่เรียกกันว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านก็น่าจะถูกแล้ว เพราะ 5 ปีข้างหน้านี้ก็จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจริงๆ แต่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ แดนสุขาวดี หรือเปลี่ยนผ่านไปสู่ดินแดนสนธยา ไม่มีใครรู้

ถ้ามีใครรู้ช่วยบอกที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image