กรณี จับ “จ่านิว” กับอุทยานราชภักดิ์ ยึดโยง สัมพันธ์

กรณีการบุกเข้า “อุ้ม” ตัวนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แห่ง “กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา” กำลังเสนอ “แง่มุม” ในทางความคิดอย่างสำคัญ

ไม่ว่าจะมองในแง่มุมของ “กฎหมาย”
ไม่ว่าจะมองในแง่มุมของ “การเมือง” ประสานเข้ากับกระบวนการในการเคลื่อน
ไหวตามแบบประชาธิปไตย “ใหม่”
เพียงแค่ประเด็นทำไมถึง “อุ้ม” ก็แตกกิ่งแยก “สาขา” มากมาย
โฆษกของ “คสช.” ยืนยันว่าการจับตัวนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และพวก ก็เพราะพวกเขาทำผิดกฎหมายผิดคำสั่ง คสช.

หากถามต่อไปอีกว่าผิดตรงไหน เมื่อไร
เสียงจาก คสช. เสียงจากรัฐบาลที่ออกมาตอกย้ำและยืนยันมักจะเน้นไปยังความผิดเมื่อเขานัดแนะกันนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์
หากถามต่อไปอีกว่า “นั่งรถไฟ” ไป “อุทยานราชภักดิ์” ก็ผิดหรือ

ตรงนี้แหละเหมือนกับเป็นการแหย่เข้าไปในรังแตนขนาดมหึมา เพราะไม่เพียงแต่ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และพวกเท่านั้น หาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็โดน
เป็นอันว่า “อุทยานราชภักดิ์” ถูกมองว่าเป็น “รังแตน” ไปซะแล้ว

Advertisement

ความจริง เรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐบุกเข้าไปจับกุมบุคคลซึ่งมี “หมายจับ” บุคคลซึ่งถือว่ากระทำ “ผิดกฎหมาย” มิได้เป็นเรื่องใหม่ มิได้เป็นเรื่องแปลก
ทำไมกรณีของ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ จึง “แปลก”

ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดอาการสั่นไหวภายใน “กลุ่มนักศึกษา” และประชาชนในประเทศ หากแต่ยังมีเสียงแห่งการ “เฝ้ามอง” มาจากต่างประเทศ
อาจเพราะมิได้เป็นการจับอย่างปกติ “สภาวะ”
ตามรายงานข่าวที่ปรากฏผ่านทั้งโซเชียลมีเดียอันถือว่าเป็น “สื่อกระจก” และหนังสือพิมพ์อันถือว่าเป็น “สื่อกระดาษ” ตรงกัน

1 มิได้เป็นปฏิบัติการของ “ตำรวจ” หากแต่เป็น “ทหาร”

Advertisement

ยิ่งกว่านั้น 1 เป้าหมายในเบื้องต้นดูเหมือนจะมิได้อยู่ที่ “สถานีตำรวจ” หากแต่เรื่องนี้อึกทึกครึกโครมโดยกระบวนการ “โซเชียลมีเดีย” จึงมีการนำตัวไปยังสถานีตำรวจ แต่ก็พลัดหลงจากสถานีอันเป็นต้นเรื่องอย่างห่างไกล

หากพิจารณาจากพื้นฐานที่ “ผู้ต้องหา” เหล่านี้เคยไปปรากฏตัวและแถลงข่าวที่ “สถานีตำรวจ” หลังมี “หมายจับ” ออกมา โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มิได้จับ
ยิ่งชวนให้เกิดความสงสัย ยิ่งนำไปสู่ความคลางแคลงใจ

ปัญหาของการจับตัว นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และพวก ยังให้ “บทเรียน” เป็นอย่างสูงในทางความคิดและในทางการเมือง
ที่บังเกิดความไขว้เขว สับสน ก็เนื่องจาก “กระบวนการ” ในทาง “ความคิด”
นั่นก็คือ มองแต่ที่ “หมายจับ” นั่นก็คือ ไม่ยอมมองอย่างเห็นสภาพแห่ง “บูรณาการ” ของกระบวนการทั้งหมด
เรียกตามภาษาในทาง “ปรัชญา” ก็คือมีลักษณะ “ตัดตอน”
กล่าวสำหรับศิษยานุศิษย์ของ ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ก็ต้องสรุปอย่างรวบรัดว่า มองไม่เห็นลักษณะอันเป็น “องค์รวม”
เพราะรากที่มาแท้จริงอยู่ที่ “อุทยานราชภักดิ์”
ความขึงขังอันเกิดขึ้นที่ “ตลาดมหาชัยเมืองใหม่” ความขึงขังอันปรากฏขึ้นที่ “สถานีรถไฟธนบุรี” และรวมถึงสถานีรถไฟบ้านโป่งล้วนมาจากฐานอันเดียวกัน
คือ “อุทยานราชภักดิ์”

ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสูตร “ขอนแก่นโมเดล” ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสูตร “ตลาดมหาชัยเมืองใหม่” อันเลเพลาดพาด
มาถึงการบุกเข้าอุ้มตัว นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ล้วนเป็นปฏิบัติการเพื่อสกัดและยับยั้งมิให้กรณี “อุทยานราชภักดิ์” บานปลาย

คำถามก็คือ แล้วเรื่อง “อุทยานราชภักดิ์” จบหรือไม่

การมองกรณีของ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และพวก จึงต้องมองอย่างเห็นลักษณะอันเรียกว่า “บูรณาการ”

อย่ามองอย่าง “แยกย่อย” อย่ามองอย่าง “ตัดตอน” หากแต่มองอย่างคำนึงถึง “องค์ประกอบ” มองอย่างเห็นสภาพที่ยึดโยง ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน

เหมือนกับนิทาน ตากับยาย ปลูกถั่วปลูกงา ให้หลานเฝ้า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image