ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
หลังจากที่ น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ หวนกลับมาเจิดจรัสและจรัสแสงยิ่งกว่าเดิมในการสร้างเกียรติประวัติให้ตนเองและประเทศ ในการขึ้นเป็นนักแบดมินตันอันดับ 1 ของโลก มีเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับน้องเมย์ให้พูดถึงกันมากมาย
นอกเหนือจากเรื่องกีฬา ความรัก ยังมีเรื่องการเมืองแทรกเข้ามาด้วย
เพราะเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อันแสนสะเทือนเลื่อนลั่นนั้น น้องเมย์เป็นหนึ่งใน 20 ล้านคนที่ไปใช้สิทธิด้วย ทั้งที่มีบรรยากาศต่อต้านการเลือกตั้งอย่างตึงเครียด
ที่ลืมไม่ลงคือมีกลุ่มอาละวาดขัดขวางคนอื่นไปเลือกตั้งด้วยวิธีการคาดไม่ถึง เช่น บีบคอ ฉกหีบบัตร ล็อกกุญแจประตูทางเข้าคูหา จนเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลก
สำหรับน้องเมย์ มือวางอันดับ 3 ของโลกในตอนนั้น ถูกถล่มทางโลกออนไลน์ด้วยถ้อยคำหยามเหยียดและบั่นทอนกำลังใจมากมาย
แต่การรับมือกับสถานการณ์ไม่สวยงามในครั้งนั้น กลับสะท้อนความมีวุฒิภาวะของน้องเมย์ได้เป็นอย่างดี
”หนูโอเคค่ะ ทุกคอมเมนต์และทุกอย่างคือแรงผลักดันให้หนูทำตรงนี้ให้ดีมากขึ้นแน่นอน พวกเราต่างมีสิทธิของตัวเอง แต่ทุกคนก็สามารถรักษาสิทธิได้ หนูมีอาชีพหลักของหนูที่จะทำเพื่อประเทศชาติและครอบครัว ไม่เคยที่จะยุ่งเรื่องการเมืองเลย แต่เพียงอยากเป็นส่วนนึงในการใช้สิทธิของตัวเอง ใครที่ไม่อยากติดตามผลงานหนู หนูไม่โกรธ แต่อยากให้แยกแยะว่ามันคนละเรื่องเลยค่ะ” น้องเมย์เปิดใจผ่านเฟซบุ๊กในปีนั้น
มาถึงวันนี้ น้องเมย์พัฒนาฝีมือขึ้นจนก้าวขึ้นมาเป็นมืออันดับหนึ่งอย่างที่ตั้งใจ พร้อมกับมุ่งหมายสู่การแข่งขันในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2016 ที่จะถึงในปีนี้
แม้จะมีคนห่วงคิวงานของน้องเมย์ กลัวว่าจะไปกระทบการซ้อมจนอาจทำให้ตกจากอันดับหนึ่ง แต่หากติดตามผลงานของน้องเมย์และการดูแลของบ้านทองหยอดและสมาคมแบดมินตันฯแล้ว จะเห็นได้ว่าน้องเมย์และผู้เกี่ยวข้องรักษาวินัยสูงและมีวุฒิภาวะที่จะจัดการเรื่องต่างๆ ได้ เหมือนกับนักกีฬามืออาชีพคนอื่นๆ ในโลก
เมื่อถึงเวลาฉลองก็ควรได้ฉลอง เมื่อต้องร่วมงานให้กลุ่มผู้สนับสนุนก็ต้องจัดการให้เหมาะสม และสมดุล
แน่นอนว่าในเกมกีฬา การรักษาอันดับเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ครองอันดับและผู้หวังไต่อันดับต่างต้องฝึกฝนและแข่งขันอย่างไม่หยุดนิ่ง
โค้ชของน้องเมย์เองก็บอกเสมอว่า การที่เมย์ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นการฝึกซ้อมอย่างหนักและสม่ำเสมอ
เช่นเดียวกับนักกีฬาอื่นๆ ที่สร้างผลงานให้ตนเองและประเทศมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าวอลเลย์บอล ฟุตบอล เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ ที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยการรักษาวินัย และพัฒนาฝีมือ
กีฬาเป็นเรื่องที่สอนแง่มุมต่างๆ ให้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ไม่ใช่เอาแต่ชนะ แต่ต้องรู้จักแพ้ด้วย
เมื่อย้อนกลับมาใช้ในเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีแพ้และชนะเป็นธรรมดาเช่นกัน หากเลือกฝึกฝนประชาธิปไตยต่อไปเรื่อยๆ ใช้สิทธิและรักษาสิทธิของตัวเองแบบน้องเมย์
ไทยอาจไม่ตกจากอันดับหนึ่งในความเป็นประชาธิปไตยในภูมิภาคก็ได้