ผู้เขียน | พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก |
---|
ตอนค่ำของวันที่ 11 กันยายน 2544 โทรทัศน์ในประเทศไทยทุกช่องนำเสนอ “ข่าวด่วน” ที่เชื่อมสัญญาณมาจาก CNN และอีกหลายช่องของอเมริกา ผู้ประกาศข่าวในอเมริกาชี้แจงแบบตะกุกตะกัก พยายามเรียบเรียงคำพูด เพื่ออธิบายเรื่องราวบนจอโทรทัศน์ที่เห็นภาพเครื่องบินโดยสารลำยักษ์พุ่งเข้าชนตึกแฝด World Trade Center กลางกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ผู้บรรยายข่าวของโทรทัศน์ในประเทศไทย อึดอัดที่จะเรียบเรียงคำพูดถ่ายทอดอธิบายออกมาเป็นภาษาไทย ด้วยเหตุ “มันเกิดอะไรขึ้นวะ-ไม่เข้าใจ”
นี่มันเหตุการณ์จริง หรือโฆษณาภาพยนตร์เรื่องใหม่
ระหว่างมื้อค่ำวันนั้นในประเทศไทย คนดูทีวีทางบ้านสงสัยว่า คืนนี้ทำไมมีหนังฝรั่งมาแทรกรายการ บ้างก็เปลี่ยนช่องโทรทัศน์หนีเพราะไม่ชอบหนังแนวโหด
เปลี่ยนไปช่องไหน ก็มีแต่ภาพเครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึก
ผ่านไปราว 15 นาที เมื่อเห็นภาพเครื่องบินโดยสารลำที่ 2 พุ่งเข้าชนตึกแฝดอีก นั่นหมายถึงประชากรทั่วโลกกำลังได้ชมถ่ายทอดสดการก่อวินาศกรรมระดับโลกในอเมริกา
ในที่สุด คำพูดว่า “การก่อการร้าย” ถูกระบุแทรกมาในข่าวและแพร่กระจายการรับรู้ออกไปทั่วโลก
ลองมาย้อนอดีต นึกถึงเหตุการณ์เขย่าโลกกันอีกครั้ง
เช้าตรู่ เวลา 0845 น. ในอเมริกา (ราว 20.45 น. ในประเทศไทย) ภาพของเครื่องบินโดยสาร United Airlines เที่ยวบินที่ 11 วิ่งขึ้นจากบอสตันพุ่งเข้าไปเสียบท่อนบนของตึกฝั่งเหนือ (บนดาดฟ้าตึกมีเสาอากาศ) ลำตัวของเครื่องบินเสียบพุ่งทะลุตึกฉีกขาดเข้าไปเกิดไฟลุกไหม้
ลำตัวเครื่องบินปักคาตึกเหมือนลูกธนูไฟวิ่งเข้ากลางเป้า ไฟนรกลุกลามไปข้างบนตึก น้ำมันเครื่องบินนับแสนลิตรแตกจากถังน้ำมันกระจายสาดออกไหลลงสู่ส่วนล่างของอาคารสูง 100 ชั้น
เพียงชั่วพริบตา ตึกที่แสนสวย ทรงพลัง เป็นสัญลักษณ์ของการค้าเสรีของโลกใบนี้ กลายเป็นแท่งไฟบรรลัยกัลป์ มีภาพที่คนบนตึกตัดสินใจโดดลงมาเพื่อหนีไฟนรก เพื่อขอตกมาตายบนพื้นโลก
ตึกแรกหลอมละลายไฟลุก แปรสภาพเกือบเป็นของเหลวไร้ราคา แล้วถล่มลงสู่พื้นมหานครนิวยอร์ก ผู้คนที่ยืนดูเหตุการณ์ในละแวกใกล้เคียง ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากมวลซากวัสดุจำนวนมหาศาลที่ฟาดลงมาบนพื้น ฝุ่นผงจากเศษซาก ฟุ้งกระจายลงพื้นถนน แล้วสาดกลับขึ้นไปบนฟ้า มองอะไรไม่เห็น
อีกราว 18 นาทีต่อมา เครื่องบิน United Airlines เที่ยวบิน 175 จากบอสตันเช่นเดียวกัน ตัวเครื่องสีแวววับระยับท้องฟ้าอีกลำที่ตามมา พุ่งเข้าเสียบตึกแฝดใต้ (อาคารที่ 2) อย่างแม่นยำ เกิดเสียงระเบิดปานฟ้าผ่าดังกึกก้องนครนิวยอร์ก ในลักษณะเดียวกับตึกแรก
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของอเมริกา นักข่าวในอเมริกา เริ่มตั้งหลักได้ จึงรายงานข่าวในขั้นต้นผ่านโทรทัศน์ว่า มีคนร้ายจี้เครื่องบิน 2 ลำ พุ่งชนกับตึกแฝด เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์กโดยเจตนา
โทรทัศน์รายงานสดเพิ่มเติมพร้อมภาพรายงานต่อไปอีกว่า ยังมีคนร้ายจี้เครื่องบินชนเครื่องบินลำที่ 3 พยายามพุ่งเข้าชนตึกเพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา) ในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เครื่องบินลำนี้พุ่งชนอาคารส่วนหนึ่งของเพนตากอน เสียหาย เพลิงไหม้ มีทหารที่ทำงานในตึกเสียชีวิต 55 นาย ต่อมาควบคุมความเสียหายไว้ได้
รายงานด่วนพร้อมภาพตามมาติดๆ ว่า เครื่องบินลำที่ 4 ของ United Airlines เที่ยวบินที่ UA 93 ไปตกในทุ่งแชงค์สวิลล์ (Shanksville) รัฐเพนซิลเวเนีย สันนิษฐานว่าคนร้ายตั้งใจจะนำเครื่องบินลำนี้ไปพุ่งชนอาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ในวอชิงตัน ดี.ซี. หากแต่ผู้โดยสารชาวอเมริกันฮึดสู้กับคนร้ายในเครื่องบิน ยึดเครื่องกลับคืนจึงพุ่งลงสู่พื้นเสียก่อน ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด
รวม 4 เหตุการณ์ 4 สถานที่ ใช้เครื่องบินโดยสาร 4 ลำ
ไม่มีใครละสายตาไปจากจอโทรทัศน์ มันคือ การถ่ายทอดสดการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คนบนโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
การสอบสวนในเวลาต่อมาพบข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังนี้ ครับ
เครื่องบินที่ถูกคนร้ายจี้ทั้ง 4 ลำเป็นเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง รุ่น 767-200 ER จำนวน 2 ลำ (จาก American Airlines เที่ยวบินที่ 11 และ United Airlines เที่ยวบินที่ 175)
อีก 2 ลำเป็นโบอิ้ง 757-200 (จาก American Airlines เที่ยวบินที่ 77 และจาก United Airlines เที่ยวบินที่ 93) คนร้ายเลือกที่จะจี้เครื่องบินทั้ง 4 ลำ เป็นเที่ยวบินที่จะบินข้ามจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกของอเมริกา
ดังนั้น เครื่องบินที่ถูกเลือกใช้เป็นทูตมรณะ เมื่อต้องบินไกล จึงต้องบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงไปเต็มพิกัด คนร้ายต้องการความมั่นใจว่าเมื่อเครื่องบินพุ่งเข้าชนเป้าหมายแล้ว จะเกิดการระเบิด เพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรงและยาวนาน สามารถที่จะพังทลายของอาคารแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาคารอื่นๆ ต้องพินาศด้วยเพลิงนรก
นิวยอร์ก คือ มหานครที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการเงิน เศรษฐกิจของโลก มีที่ทำการ หน่วยงานระดับโลกตั้งอยู่ในแผ่นดินตรงนี้
เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติ (UN) บนตึกที่สูงตระหง่านในนิวยอร์ก ผู้คนทุกหน่วยงานในนิวยอร์ก และวอชิงตัน ดี.ซี. หนีตายอพยพลงมาจากตึกทั้งหมด มหานครนิวยอร์ก แปรสภาพเป็นนรกบนดิน
ประธานาธิบดีบุช ซึ่งกำลังประชุมอยู่รัฐในฟลอริดา บินด่วนกลับมาอำนวยการ รับมือกับการก่อการร้ายในแผ่นดินอเมริกาที่แสนโหดร้าย
ตึกแฝดสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยมของโลก ที่ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ถล่มลงมากลายเป็นเถ้าถ่าน ราบเป็นหน้ากลองภายในเวลา 2 ชม.
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,996 คนจากการก่อการร้ายครั้งนี้ประกอบด้วยคนร้ายจี้เครื่องบินทั้ง 4 ลำ จำนวน 19 คน และผู้โดยสาร 2,977 คน เหยื่อนี้แบ่งเป็น 246 คนบนเครื่องบินทั้ง 4 เครื่อง ซึ่งไม่มีผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
ผู้ที่เสียชีวิตในตึกทั้งสอง คือ คนที่ทำงานในตึกและนักท่องเที่ยว ซึ่งเสียชีวิตด้วยเปลวเพลิง และสูดหายใจเอาควันเข้าไป บางส่วนกระโดดออกจากอาคารเพื่อหนีควันและเปลวไฟ หรือเสียชีวิตหลังอาคารถล่มลงมา
ในอาคารด้านใต้ มีปล่องบันไดปล่องหนึ่งยังไม่ได้รับความเสียหาย ทำให้มี 18 คนหลบหนีจากชั้นเหนือกว่าชั้นที่ถูกเครื่องบินชนหนีลงมาได้
อาคารด้านทิศใต้ (อาคารที่ 2) มีผู้เสียชีวิต 630 คน ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตในอาคารเหนือ (อาคารที่ 1) เนื่องจากเริ่มอพยพหนีเมื่ออาคารที่ 1 ถูกเครื่องบินชนก่อน
รัฐบาลสหรัฐประกาศมาตรการฉุกเฉิน มีการอพยพผู้คนออกจากสถานที่สำคัญ ยกเลิกเที่ยวบินทั่วประเทศ
หลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ รัฐบาลสหรัฐระดมสรรพกำลังหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) พลิกแผ่นดินออกสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังก่อการวินาศกรรมในครั้งนี้
คนทั้งโลก กระหายใคร่รู้ทุกลมหายใจว่า ไอ้คนหน้าไหนที่กล้าท้ารบกับมหาอำนาจสหรัฐ
เหตุไฟไหม้ ตึกถล่ม เริ่มคลี่คลายราว 6 โมงเย็นในสหรัฐ ใครต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร การช่วยชีวิตดำเนินต่อไป ทุกนาทีมีค่ายิ่งนัก
จากฐานข่าวเดิม สหรัฐได้พุ่งเป้าไปที่นายโอซามา บิน ลาเดน (Osama bin Laden) หัวหน้าขบวนการอัลเคด้า (Al-Qaeda) และบรรดาสาวกทั้งหลายว่าน่าจะเป็นผู้บงการในเหตุการณ์ดังกล่าว การทำงานของหน่วยข่าวโดยการตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารของเครื่องบินที่ถูกจี้บังคับไปก่อวินาศกรรมทั้ง 4 ลำ พบรายชื่อบุคคล 19 คน ที่ชี้ชัดในการจี้เครื่องบิน และมีโยงใยเกี่ยวพันกับนายโอซามา บิน ลาเดน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต่างพลีชีพในการก่อวินาศกรรมทั้งหมด
อเมริกาไม่เคยประสบพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ต้องสูญเสียชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เศรษฐกิจที่เริ่มชะลอมาตั้งแต่ก่อนหน้าเกิดวิกฤตการณ์ก็ประสบปัญหามากขึ้น
ผู้ก่อการร้ายต้องการทำลายขวัญกำลังใจของประชาชนชาวอเมริกัน หากแต่คนอเมริกันกลับฮึด เกิดแนวคิดแบบชาตินิยมอย่างรุนแรงขึ้นมา
รัฐบาลสหรัฐหันมาเน้นด้านความมั่นคงในแผ่นดินอเมริกา เช่น การให้อำนาจประธานาธิบดีกระทำการใดๆ ก็ได้ต่อบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ซึ่งประชาชนเองก็มีแนวโน้มคล้อยตามในการให้อำนาจแก่รัฐมากขึ้นเพื่อแลกกับความมั่นคงของชาติ
ระบบการบิน การขึ้นเครื่องบิน ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบินในโลกนี้ถูกปรับเลี่ยนไปหมดด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย อเมริกาจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลความสงบในประเทศ คือ Department of Homeland Security เข้มงวดกับทุกเรื่อง ทุกคน
เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นตัวสร้างมาตรฐานชีวิตใหม่ด้านความปลอดภัย การอยู่ร่วมกันแบบหวาดระแวงไปหมด
ผู้โดยสารจะต้องถูกตรวจร่างกาย ถอดรองเท้า ถอดเสื้อคลุม ถอดเข็มขัด จนแทบจะเปลือยกายก่อนขึ้นเครื่องบิน เป็นภาพที่น่าสมเพชเวทนา มีการทะเลาะเบาะแว้ง ถกเถียงที่จะไม่ถอด ไม่อนุญาตให้นำสิ่งของขึ้นเครื่องกันทั่วทุกสนามบินบนโลกใบนี้
ของเหลว ของแข็ง กรรไกรตัดเล็บ ยาดม ยาหม่อง น้ำหอม ล้วนเป็นสิ่งของที่ถูกเพ่งเล็งแบบเอาเป็นเอาตาย รวมทั้งการตอบคำถามสารพัดที่แสนจะน่ารำคาญ ทุกอิริยาบถของผู้โดยสารจะถูกบันทึกภาพ
บุรุษผู้มีหนวดเคราหนา ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ความเป็นส่วนตัวแทบไม่เหลือ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก
กล้องโทรทัศน์วงจรปิด เครื่องบันทึกข้อมูลขายดีจนผลิตไม่ทันความต้องการจากทั่วโลก เครื่องตรวจ X-Ray ร่างกายและกระเป๋าทำเงินมหาศาล ก่อนเข้าโรงแรม ก่อนเข้าห้องประชุมก็ต้องตรวจ ผู้คนในโลกนี้ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น เทคโนโลยีด้านการตรวจจับ อาชีพ รปภ. เครื่องมือดักฟัง ถ่ายภาพ จดจำใบหน้า เป็นสินค้าขายดี มีเศรษฐีเกิดขึ้น
หลังจากเหตุท้ารบในวันที่ 11 กันยายน 2544 อเมริกาได้ประกาศสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงรัฐบาลของประเทศที่ให้แหล่งพักพิงและสนับสนุนการก่อการร้าย ประธานาธิบดีบุชประกาศให้ทุกประเทศทั่วโลกตัดสินใจว่าจะอยู่ข้างอเมริกา หรืออยู่ข้างฝ่ายก่อการร้าย
อเมริกาส่งกำลังทหาร เรือรบ เครื่องบิน เข้าไปโค่นล้มรัฐบาลของอัฟกานิสถานและอิรัก โดยอ้างถึงเหตุผลที่ทั้ง 2 ประเทศนี้สนับสนุนการก่อการร้าย อเมริกาและกองกำลังผสมทำสงครามกับทั้งรัฐบาลกลุ่มทาลิบันและรัฐบาลของซัดดัม ฮุสเซน แล้วจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นมิตรกับอเมริกา
โลกที่เพิ่งคลายตัวจากสงครามเย็น (Cold War) กลับมาร้อนระอุแบ่งเป็น กลุ่มประเทศผู้สนับสนุนสหรัฐ และไม่สนับสนุนสหรัฐ ต้องแบ่งขั้ว เลือกข้างกันอีก
กลุ่มก่อการร้ายปรากฏตัวทางโลกไซเบอร์แบบท้าทาย เปิดหน้าท้ารบ เข้าไปก่อการร้ายในประเทศที่สนับสนุนสหรัฐและยุโรป มุ่งทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐทั่วโลก เช่นโรงแรม สถานทูต แหล่งชุมชนคนอเมริกันทั่วโลก เช่น เหตุการณ์การก่อวินาศกรรมระเบิดสถานบันเทิงในเกาะบาหลี อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2545 มีผู้เสียชีวิต 202 คน บาดเจ็บกว่า 300 คน
หน่วยข่าวทุกหน่วยของสหรัฐ พลิกแผ่นดินตามล่าศัตรูหมายเลข 1 ที่ชื่อ บิน ลาเดน นานแค่ไหน สหรัฐไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจ
10 ปีผ่านไป ในที่สุดหน่วยกรองข่าวยืนยันว่า บิน ลาเดน ซ่อนตัวในบ้านแห่งหนึ่งที่เมืองแอบบอตตาบัด (Abbottabad) ห่างจากอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ไปทางตะวันออกราว 100 กม.
แผนปฏิบัติการเจอเรอนิโม (Geronimo) ได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดีโอบามา ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้หน่วยทหารรบพิเศษซีล (SEAL Team6) เข้าจู่โจมในดินแดนปากีสถาน
ราวเที่ยงคืนวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำนำทหารเดนตาย 40 นายบินถึงที่หมาย ซีล 24 นายลงสู่พื้นท่ามกลางความมืดสนิท แต่มือสังหารทั้งหมดสวมอุปกรณ์กล้องมองในเวลากลางคืน พร้อมทีมงานเข้าไปในบ้านเป้าหมายอย่างระมัดระวัง หน่วยรบพิเศษระดับโลกมองเห็นทุกอย่างในบ้านเหมือนเวลากลางวัน ใจเย็น ย่างสามขุมขึ้นไปบนชั้น 3 มีเสียงผู้หญิง เสียงเด็ก เสียงพูดคุย สั่งการในบ้าน
ประธานาธิบดีโอบามาและทีมที่ปรึกษาดูการถ่ายทอดสดผ่านกล้องทีวีติดบนศีรษะของหน่วยซีล ทุกอย่างเงียบกริบในห้องที่ทำเนียบขาว ภาพสดที่ส่งผ่านดาวเทียมมาค่อนโลกชัดแจ๋ว ชัดยิ่งกว่าหน่วยซีล มองเห็นที่หน้างาน
เวลาผ่านไปราว 40 นาที นับแต่หน่วยเพชฌฆาตลงถึงพื้นดินแล้วเข้าไปในบ้านหลังนี้ ยาวนานราวโลกหยุดหมุน ซีลทีม สังหาร รปภ.ในบ้านของบิน ลาเดน นอกบ้านและในบ้านได้ทั้งหมด
ทุกคนกลั้นใจรอวินาทีนั้นแทบลืมหายใจ
เสียงปืน 2 นัดดังขึ้นในความมืดสนิท กระสุน 1 นัดวิ่งเข้าที่ศีรษะ และอีก 1 นัดพุ่งไปที่หน้าอกชายรูปร่างผอมสูงที่โผล่ออกมาจากประตู แล้วร่างของเขาก็ล้มลงกองกับพื้น หน่วยซีลเข้าพิสูจน์ตัวบุคคลเป้าหมาย
เสียงและภาพรายงานผ่านกล้องติดบนศีรษะหน่วยทหารซีลตรงไปยังประธานาธิบดีในทำเนียบขาว “Geronimo E KIA” แปลว่าง่ายๆ ว่า “เป้าหมายเสียชีวิต”