ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
ประหนึ่งว่าการจับกุมและควบคุมตัว นายวัฒนา เมืองสุข เป็นการดำเนินกลยุทธ์ “ล่อเสือออกจากถ้ำ” เท่ากับทำให้สามารถมองเห็น “กำลัง” ที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลัง
ไม่ว่าจะมองผ่านการเคลื่อนไหวของ น.ส.วีรดา เมืองสุข
ไม่ว่าจะมองผ่านการส่งจดหมายแจ้งปฏิบัติการด่วนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และแถลงการณ์จาก ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์
ตลอดจนการเรียกร้องจาก 6 องค์กรสิทธิมนุษยชนไทย
ยิ่งกว่านั้น การนัดชุมนุมอย่างเอาการเอางานโดย “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” จากวันที่ 18 ถึงวันที่ 21 เมษายน ก็มากด้วยลักษณะ “กัมมันตะ”
ทั้งนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึง “ท่าที” อันมาจาก “เพื่อไทย”
การปรากฏตัวของ นายจารุตนต์ ฉายแสง การปรากฏตัวของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อันเป็นระดับอดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ตรงไปตรงมา
พร้อมยืนเรียงเคียงกับ “เงาร่าง” ของ นายวัฒนา เมืองสุข
กระนั้น ท่วงทำนองการปล่อยแสงในเรื่องข้อสังเกตว่ามี “เบื้องหลัง” แล้วทะลุทะลวงไปยัง นายทักษิณ ชินวัตร เท่ากับเป็นการยกระดับ
กลับกลายเป็นการเปิด “แนวรบ” หลายแนวในกระบวนการ “ประชามติ”
ต้องยอมรับว่านับแต่มีการ LAUNCE ตัว “ร่างรัฐธรรมนูญ” ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 29 มกราคม ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม
ก่อให้เกิด “แรงเสียดทาน” เป็นอย่างสูงในทาง “การเมือง”
การคัดค้าน ต่อต้าน แสดงการ “ไม่ยอมรับ” ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทยและมาจาก นปช.มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
สัมผัสได้จาก “แถลงการณ์”
แนวรบระหว่าง คสช.กับพรรคเพื่อไทย และ นปช. จึงเป็นแนวรบพื้นฐาน แนวรบโดยธรรมชาติ นับแต่สถานการณ์รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาแล้ว
ไม่ว่าร่าง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ว่าร่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน
หากประเมินว่าการจับกุมและควบคุมตัว นายวัฒนา เมืองสุข เป็นการดำเนินกลยุทธ์ “ล่อเสือออกจากถ้ำ” กระทั่งประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย การที่จะรวมศูนย์กำลังเพื่อบดขยี้และทำลายองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบน่าจะเป็นความจำเป็นและมีความเหมาะสมมากกว่า
เห็นได้จากการรุกไล่ไปยัง “ตัวการ” อันได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร
กระนั้น ความล่อแหลมเป็นอย่างมากของการรุกไล่ก็คือ การเคลื่อนไหวของนายวัฒนา เมืองสุข และบรรดาแนวร่วมที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 เมษายนเป็นต้นมาแวดล้อมอยู่กับประเด็นของร่างรัฐธรรมนูญและประชามติ
เรื่องนี้จึงมากด้วยความละเอียดอ่อน ประณีตและมากด้วยความอ่อนไหว
ต้องยอมรับว่าการประกาศ “ไม่ยอมรับ” ต่อร่างรัฐธรรมนูญมิได้มีแต่จากพรรคเพื่อไทย มิได้มีแต่จาก นปช.เท่านั้น
ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์ก็ “ไม่ยอมรับ”
ตรงกันข้าม คนที่เคยเห็นด้วยกับรัฐประหารตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 กระทั่งเดือนพฤษภาคม 2557 อย่าง นายแก้วสรร อติโพธิ อย่าง นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ หรือแม้กระทั่ง นายสมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นต้น ก็แสดงท่าทีเด่นชัดว่า “ไม่ยอมรับ”
ตรงกันข้าม ภาคประชาสังคมอย่าง น.ส.รสนา โตสิตระกูล อย่าง นายศศิน เฉลิมลาภ ก็แสดงออกเด่นชัดว่า “ไม่ยอมรับ”
จึงเท่ากับว่า “คสช.” กำลังขยาย “แนวรบ”
เป็นการขยายแนวรบในสถานการณ์ที่ความขัดแย้ง แตกแยก จากรัฐประหารไม่ว่าจะเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยังดำรงอยู่อย่างลึกซึ้ง เห็นได้จากกรณีเอกสารลับ “กลาโหม” ปรากฏฉบับแล้วฉบับเล่า การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงปรากฏขึ้นคนแล้วคนเล่าทั้งระดับปลัดกระทรวงและระดับอธิบดี การปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลายกระทรวงที่นำไปสู่สภาพร้าวลึกเกิดขึ้นและดำรงอยู่
ฉายสะท้อนว่าอาจไม่เป็นผลดีต่อ “ประชามติ” อาจไม่เป็นผลดีต่อ “ร่างรัฐธรรมนูญ”
ไม่ว่าการยุทธ์ในทางทหาร ไม่ว่าการยุทธ์ในทางการเมือง ล้วนดำรงจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันเด่นชัด
จุดมุ่งหมาย 1 คือ รวมศูนย์กำลังเพื่อบดขยี้และทำลายล้างศัตรู จุดมุ่งหมาย 1 คือการรักษาและสงวนกำลังให้ดำรงเอกภาพอย่างเหนียวแน่น มั่นคง
ยิ่งเปิดและขยาย “แนวรบ” การยุทธ์ยิ่งกระจัดกระจาย และยากจะประกันชัยชนะได้