วิกฤตทัวร์จีนเที่ยวไทย ‘ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา’ : บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์

เป็นคำเปรียบเปรยที่มีมานาน “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” เป็นสำนวนจีนในความหมายของไทยหมายถึงการกระทำใดๆ ที่หากยังไม่เห็นผลเสียหายร้ายแรง มักไม่คำนึงถึงการ
กระทำของตนเองว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม

ประโยคดังกล่าวน่าจะสะท้อนความจริง กรณีทัวร์จีนแห่เที่ยวไทยท่ามกลางกระแสภูมิใจจากองค์กรท่องเที่ยว ที่สามารถทำตลาดได้เกินเป้า หลังรัฐบาลจีนประกาศปลดโซ่พันธนาการให้ชาวแดนมังกรออกท่องเที่ยวต่างประเทศได้ โดยมีไทยเป็นเป้าหมายสำคัญที่คนจีนนิยมมาท่องเที่ยว เพราะอยู่ใกล้ทั้งทางบกทางเรือ จากเมืองเชียงรุ้งหรือสิบสองปันนามาเชื่อม อ.แม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ และน่านฟ้าทางอากาศ กับยังมีแหล่งท่องเที่ยวให้เลือกหลากหลาย อีกทั้งที่พักอาหารถูกปากแถมราคาถูก

ก่อนจะเห็นโลงศพ แล้วหลั่งน้ำตา มีตัวเลขปี 2552 หรือเมื่อ 9 ปีก่อน ไทยมีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวอยู่ที่หลักแสนคือเพียง 7.72 แสนคน แต่แค่ปีเดียวตัวเลขกลับพลิกผันเป็นหลักล้านที่ 1.12 ล้านคน จากนั้นเพิ่มทวีขึ้นทุกปีในอัตราเฉลี่ย 8-12% ต่อปี

ถึงปี 2556 ก้าวกระโดดเป็น 4.70 ล้านคน โตขึ้น 17.60% จากปีก่อนหน้าที่มีตัวเลข 2.78 ล้านคน จากนั้นไต่บันไดขึ้นเป็นระยะๆ กระทั่งปี 2560 มายืนอยู่ที่ตัวเลข 9.8 ล้านคน ถึงปีนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ว่า ไทยน่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนแตะอยู่ที่ 10.4-10.6 ล้านคน

Advertisement

ขณะปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ออกมาบอกด้วยว่าไทยจะมีลูกทัวร์จีน 11 ล้านคน สูงถึง 10 เท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 10 ปี ส่วนนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มือตลาดระดับแกนนำท่องเที่ยว ย้ำยืนยันด้วยว่า ถึงตลาดจีนจะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ ททท.จะขอเป็นเดี่ยวมือ 1 ปั้นตัวเลขตามเป้าปีนี้ให้ได้ 10.5-11 ล้านคน ตามรอยนายพงษ์ภาณุ

ต่อมากรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็ลุกขึ้นมาระบุถึงช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ คือมกราคมถึงพฤษภาคม ไทยมีทัวร์จีนแล้ว 5.03 ล้านคน

นับเป็นความสวยหรูของตัวเลขชาวจีนเที่ยวไทยที่หลายฝ่ายต่างฝันหวานละเมอเพ้อพกและตื่นมาคุยอีกว่า จีนเป็นตลาดใหญ่แซงหน้าตลาดอื่นๆ ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 40% จากทุกตลาด ความจริงเชิงประจักษ์จึงพบว่าจีนเป็นตลาดที่ได้รับการเอาใจใส่เกิน 100 โดยรัฐบาลไทยใจป้ำเสนอค่าประกันคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทยให้

ทั้งมีความคิดที่จะมอบวีซ่าแบบ Multiple Visa ขอครั้งเดียวสามารถเดินทางเข้า-ออกไทยได้ถึง 2 ครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าซ้ำครั้งอีก!

จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นทัวริสต์จีนยั้วเยี้ยทั่วแผ่นดินไทยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จนแทบจะกล่าวได้ว่าไทยคือมณฑลที่ 24 ของจีน ต่อจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกงสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยว

ขอให้จับตามองกันต่อไปถึงคำว่า…ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เมื่อองค์กรรัฐมีแต่จะให้ความสำคัญตลาดจีนราวกับเห็นเป็นไข่ในหิน ที่ยิ่งเข้ามามากเท่าไรเท่ากับนำเงินมาทิ้งไว้ให้บ้านเรามากเท่านั้น จนแทบจะไม่เหลียวมองตลาดอื่นๆ ที่เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีคุณภาพน่าส่งเสริม และลืมไปว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคตที่ตลาดจีนมาเที่ยวไทยเกิดสะดุดไม่ว่าจากเหตุใด อาทิ สงครามเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐ หรือการชิงพื้นที่มหาอำนาจเอเชีย และปัญหาการเชือดด้วยกระบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญในไทย ที่อาจทำให้ทัวร์จีนกับเงินรายได้ลดวูบลงอย่างปัจจุบันทันด่วน

วันนั้น…ท่องเที่ยวไทยจะกลับลำอย่างไร? และหาตลาดทดแทนทัวร์จีนที่หายไปได้อย่างไร? นี่คือการบริหารความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม และดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูงกับตลาดจีนในอนาคตอันใกล้นี้!

ลองย้อนดูตัวอย่างกรณีตลาดเที่ยวไทยเกิดความผันผวน เริ่มจากปี 2529 ตลาดท่องเที่ยวมาเลเซีย-สิงคโปร์ เคยยิ่งใหญ่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีคนเที่ยวปีละ 1 ล้านคน มากสุดขณะนั้น แล้วจู่ๆ รัฐบาลไทยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคนไทยเดินทางออกนอกประเทศ ทั้งใกล้ไกลคนละ 1,000 บาท นัยว่าควบคุมจำนวนคนเที่ยวต่างประเทศ

ทำให้มาเลเซียและสิงคโปร์ตอบโต้ไทยทันควัน ด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมคนของเขาบ้าง 1,000 บาท หาดใหญ่จึงกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด กดดันให้รัฐบาลไทยต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าว

อีกครั้งหมอไทยร้อนวิชาออกมาบอกว่าหาดใหญ่มีโรค “ซุปเปอร์โกโนเรีย” ระบาดในหมู่ชายชอบสนุก สามารถติดต่อกันได้ทางโถปัสสาวะ ทำเอาแม่บ้านมาเลเซีย-สิงคโปร์ ผวาหนัก ห้ามพ่อบ้านมาเที่ยวหาดใหญ่เด็ดขาด ถึงขั้นแอบเอาหนังสือเดินทางไปซ่อน

หาดใหญ่ยามนั้นซบเซาไม่ต่างสุสาน รัฐต้องรีบส่งคนไปทำความเข้าใจตลาดถึงฟื้นคืนกลับมาได้

ตลาดจีนในช่วงโตวันโตคืนเมื่อปี 2545 เคยต้องผจญกับวิกฤตโรคซาร์ส ปีถัดมาเป็นช่วงไข้หวัดนกระบาด พอปี 2547 คราวนี้หนักด้วยวิกฤตภัยสึนามิ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 6,000 คน ทำเอานักท่องเที่ยวทุกตลาดหายวูบพักหนึ่ง

ปี 2561 ปัญหาตลาดทัวร์จีนเริ่มหนักขึ้น เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมเกิดเรือล่มที่ทะเลภูเก็ตทัวร์จีนตายไป 47 คน ไม่นับผู้ประสบภัยอีกต่างหาก แถมคนระดับผู้นำประเทศออกมาถล่มซ้ำ “คนจีนมากันเอง” ทำให้ทัวร์จีนเริ่มหันหลังให้ไทย

ช่วงเดียวกันไทยมีโรคไข้เลือดออกระบาดหนัก ถัดมานักท่องเที่ยวสาวจีนประสบภัยที่น้ำตกโตนงาช้าง อ.หาดใหญ่ เดือนกันยายน นักท่องเที่ยวชายจีนถูก รปภ.สนามบินตบหน้าฉาดใหญ่ ฐานเอะอะโวยวายเรื่องเงินค่า Tip 300 บาท

ช่อง “โกลเด้นวีค” 1-7 ตุลาคม 2561 คล้ายเกิดลางสังหรณ์ที่ทัวร์จีนเคยแห่มาเที่ยวไทยปีละ 300,000 คน กลับลดลง 12% เหมือนจะตอบโต้ไทยหันไปเที่ยวที่อื่นแทน

ไทยถึงเริ่มรู้ตัวเห็นโลงก่อนหลั่งน้ำตา บอกจะรีบออกไปขายท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษในจีน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งยังยืนยันจะทำเป้าตลาดจีนปีนี้ให้ได้ 11 ล้านคน แม้วิกฤตจะเกิดซ้ำซากและรุนแรงขึ้น

แต่ไม่ยักบอกจะทำตลาดแบบไหนเจาะกลุ่มใด และให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากรณีทัวร์จีนส่งสัญญาณให้รู้หลังโกลเด้นวีคว่าเริ่มเบื่อหน่ายไทยในหลายๆ เรื่องที่ขาดความน่าเชื่อถือ จนต้องเปิดทวารหนี

จีนเที่ยวไทยไม่ใช่เรื่องที่ไทยจะมั่นใจ กอดไข่ทองคำไว้จนวันตายอย่างประมาท

ฤาทัวร์จีนเที่ยวไทยใกล้ถึงครา “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ซะแล้ว?

บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image