ปรับเปลี่ยนประเทศไทย (ไทยแลนด์ 4.0) โดย พิชัย นริพทะพันธุ์

แฟ้มภาพ

มาจนถึงขนาดนี้แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยมีปัญหาเพิ่มขึ้นในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เชื่อได้ว่าคนไทยทุกคนต้องการเห็นประเทศไทยปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น หรือเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ตามคำเรียกสากลที่นิยมใช้กันของโลกในปัจจุบัน

เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าแนวคิดที่จะเสนอนี้เป็นบางแนวคิดที่น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศ ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านี้ ใครจะเข้ามาบริหารประเทศก็อยากให้นำไปพิจารณา เพราะผู้เขียนไม่ได้อยากถูกเรียกไปปรับทัศนคติครั้งที่ 8 หรือต้องไปเข้าอบรมตามคอร์สที่กำลังจะมีการจัดขึ้น ซึ่งไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาอะไรได้ และไม่น่าเกิดประโยชน์กับประเทศแต่อย่างไร แต่น่าจะสร้างปัญหาให้ภาพพจน์ประเทศเสียหายในเรื่องการละเมิดสิทธิของบุคคลให้เพิ่มขึ้นมากกว่า

ในภาวะที่การเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกประเทศน่าจะต้องการมีผู้นำที่มีความรู้ความสามารถและปรับเปลี่ยน นโยบายและแผนงานให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อาจจะไม่ต้องถึงขนาดรู้และอธิบายควอนตัมฟิสิกส์ได้เหมือนผู้นำแคนาดา แต่ก็ต้องรู้และเข้าใจเรื่องหลักๆ ที่จะเกิดขึ้นในโลกอนาคต เช่น Cloud computing, Blockchain and Bitcoin, Tesla electric car, Paperless society, Non paper currency, low inflation period เป็นต้น และเรื่องเหล่านี้อาจจะพัฒนาขึ้นไป หรือปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น หรืออาจจะหายไปเลยก็เป็นได้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน และหากผู้นำยังมีแนวคิดในกรอบเดิมๆ หรือแค่คิดว่าจะยังสามารถวางยุทธศาสตร์ประเทศระยะยาวเป็น 20 ปีได้ แต่ไม่เข้าใจความหมายของเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็เท่ากับประเทศนั้นยากที่จะพัฒนาแข่งขันกับประเทศอื่นในอนาคตได้ ดังนั้นจึงอยากขอเสนอแนวคิดการปรับเปลี่ยนประเทศไทยในบางเรื่องที่เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนในหลายด้าน ดังนี้

“ไทยแลนด์ 4.0” ที่เชื่อว่าคนไทยทุกคนอยากเห็นเรื่องแรก น่าจะเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนแนวทางทางเศรษฐกิจ ทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจขึ้นไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอีกเช่นกัน คงไม่ต้องมาพูดกันอีกแล้วว่าเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันทรุดลงและเสื่อมโทรมขนาดไหน เพราะผู้เขียนพยายามเตือนมาตลอดตั้งแต่มีการประท้วงจนถึงหลังมีการปฏิวัติ จนถูกเรียกเข้าค่ายทหารหลายหน แต่ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คาดการณ์ไม่ให้ไม่เป็นจริงได้ ถึงจะให้โกหกก็เปลี่ยนไม่ได้ ปัญหาของเสาหลักเศรษฐกิจที่เสื่อมเห็นได้จากการส่งออกที่ลดลง 5.78% ในปีที่แล้ว และการลงทุนที่ลดลงอย่างมาก และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่การลงทุนจากต่างประเทศของไทยที่ลดลง 90% จากรายงานของ Nikkei Asian Review ส่วนหนึ่งมาจากข่าวสารทางด้านลบที่กระจายออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปิดประเทศ การจับคนปรับทัศนคติเป็นจำนวนมาก การแสดงความเห็นด้านสิทธิมนุษยชนขัดกับแนวทางประชาคมโลก การต่อปากต่อคำกับประเทศมหาอำนาจในเรื่องต่างๆ ย่อมส่งผลกลับมาสู่ความเชื่อมั่นและการลงทุนจากต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมปีนี้ยังมีข่าวเรื่องการห้ามแจกปฏิทินและการตรวจยึดขันแดง อีกทั้งการดำเนินคดีกับผู้ที่ถ่ายรูปกับขันแดงที่เป็นเรื่องขบขันของคนทั้งโลกไปแล้ว และถึงแม้ที่บอกว่าปีนี้จะมีการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เท่าก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของปีก่อนหน้านี้เท่านั้น คงไม่สามารถจะฟื้นฟูเศรษฐกิจอะไรได้มากนัก แต่จะส่งผลให้เศรษฐกิจในอนาคตยิ่งย่ำแย่ เพราะการลงทุนลดลงมากจะทำให้การส่งออกในอนาคตก็จะลดลงมากไปด้วย ในขณะเดียวกันเงินลงทุนต่างประเทศกลับไหลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านทำให้ทุกประเทศมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทยมาก ซึ่งขนาดคนไทยเองยังแห่ไปลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในปีที่ผ่านมา

Advertisement

ผลกระทบนี้จะทำให้ประเทศไทยติดกับดักการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง เพราะไม่สามารถจะหารายได้เพิ่มขึ้นได้ เพราะประเทศเล็กๆ อย่างไทย ต้องพึ่งรายได้จากต่างประเทศเป็นหลักทั้งการส่งออกและการลงทุน แนวคิดที่จะเพิ่มการบริโภคในประเทศก็ทำไม่ได้เพราะรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ลดลงมาก

การปรับเปลี่ยนประเทศไทยทางเศรษฐกิจจึงต้องเริ่มต้นจากเปลี่ยนภาพพจน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับมาอย่างเร่งด่วน และต้องทบทวนปัญหาเดิมที่เกิดขึ้นว่าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งน่าจะเป็นความจำเป็นอย่างแรก เพราะประเทศไทยยังต้องการการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีสูงและมีมูลค่าเพิ่มสูงที่ตอนนี้ย้ายไปประเทศเวียดนามกันมากแล้ว

นอกจากนี้ ในภาวะที่โลกจะประสบกับภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำเป็นระยะเวลาอีกนานซึ่งรวมถึงไทยด้วย ผู้บริหารในอนาคตจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดนโยบายให้สอดคล้อง และมีการลงทุนในสาธารณูปโภคมากขึ้นเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความเชื่อมั่นและการยอมรับของนานาชาติที่มีต่อประเทศไทยกลับมาได้อย่างแท้จริง ที่น่าเป็นห่วงคือยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ในการกลับสู่ระบบที่จะเรียกความมั่นใจของต่างประเทศให้กลับมาได้ โอกาสของประเทศไทยที่จะพัฒนาก็หายไปเรื่อยๆ และโอกาสของประเทศเพื่อนบ้านก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ส่วนขั้นตอนการพัฒนาในรายละเอียดว่าจะต้องพัฒนาอย่างไรก็คงจะต้องดูภาวการณ์ของโลกหลังการเลือกตั้งซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ

“ไทยแลนด์ 4.0” ทางด้านการเมือง น่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาทางการเมืองใน 10 ปีที่ผ่านมาได้ถ่วงการพัฒนาของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นที่จะต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่ใช่ทางเลือก เพราะตอนนี้คงจะได้ทราบกันแล้วถึงผลของความเชื่อมั่นของต่างประเทศที่ลดลงว่ามีผลกระทบอย่างไร และความจำเป็นที่จะต้องมีความต่อเนื่องในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่สะดุดอีก และต้องปล่อยให้ระบอบประชาธิปไตยได้พัฒนาไป ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ทุกฝ่ายต้องหันมายอมรับความจริงกัน โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่มาจากพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค หากพรรคใหญ่ที่สุดมีการบริหารประเทศให้ดีพอก็คงไม่มีประชาชนออกมาขับไล่เป็นแสนๆ คน และถึงกับทำให้ประชาชนเหล่านี้คิดวิปริตส่งเสริมให้มีการปฏิวัติ และนิยมชมชอบกับการปฏิวัติ ซึ่งทวนกับกระแสโลก ขัดกับระดับการศึกษา และน่าจะฝืนกับความเชื่อส่วนตัว ในขณะที่อีกพรรคหนึ่งที่เคยยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยและต่อสู้กับเผด็จการมาตลอดเมื่อในอดีต แต่ต่อมากลับไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลย เพราะไม่เคยพัฒนาตัวเอง และไม่สามารถคิดนโยบายที่ถูกใจประชาชนได้ แต่กลับออกมาใช้ยุทธวิธีนอกระบอบประชาธิปไตยเพื่อขับไล่รัฐบาล อีกทั้งบอยคอตการเลือกตั้ง ซึ่งเสมือนเป็นการชักชวนให้เกิดการปฏิวัติ โดยมุ่งหวังจะได้อำนาจโดยไม่ได้สนใจว่าประเทศจะประสบกับปัญหาอะไรบ้างที่จะตามมา ดังนั้นการปรับเปลี่ยนทางแนวคิดและการดำเนินงานของพรรคการเมืองจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น การกล่าวอ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ฉลาดและไม่มีความรู้ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น และถ้ารัฐธรรมนูญใหม่ที่ร่างขึ้นมาบนพื้นฐานของความเชื่อนี้ จะยิ่งทำให้ปัญหาต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจจะนำไปสู่ความไม่สงบทางการเมืองได้ และที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ได้รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ถึงแม้ไม่เชียร์แต่ก็ต้องไม่เกลียด

และอีกเรื่องที่ได้ยินกันตลอดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นข้ออ้างในการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ในวิธีที่ไม่ปกติ แต่ไม่เห็นมีใครจะบอกได้ว่าหลังจากการเปลี่ยนผ่านแล้วประเทศจะเป็นอย่างไร และจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร ประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร ประชาชนรู้แต่เพียงว่าช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้กลับทำให้ประชาชนลำบากกันอย่างมาก

“ไทยแลนด์ 4.0” ในทางสังคม เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะสังคมไทยเติบโตมาจากสภาวะที่ผิดปกติมาเป็นเวลานาน คนส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล การแบ่งแยกชนชั้นที่ฝังลึกแต่พยายามจะปฏิเสธ ปัญหาหลักส่วนหนึ่งน่าจะเกิดมาจากการศึกษา ที่สถาบันการศึกษาเองยังชี้นำในแนวทางที่ผิดแปลกแตกต่างจากสังคมโลก หลายแนวคิดยังสับสนในตัวเอง เช่น ประเทศต้องการให้ประชาชนมีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกันกลับปิดกั้นการแสดงออกในความคิดเห็น แม้เต่เรื่องที่สำคัญมากของประเทศ เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญ หรือการที่ประเทศไทยมุ่งจะก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจดิจิตอล แต่กลับยกเลิกการแจกแท็บเล็ต ที่นอกจากจะช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลแล้ว ยังจะช่วยพัฒนาการศึกษาและความรอบรู้ให้กับประชาชนให้เข้ากับสังคมโลกได้ด้วย เป็นต้น และที่ต้องปรับปรุงเป็นพิเศษน่าจะเป็นการปรับปรุงวิธีคิดและวิธีการดำเนินการของสื่อมวลชน ซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางแนวคิดของสังคมในขณะนั้นๆ ให้มีมาตรฐานสากล หลายครั้งที่เห็นสื่อยังมีคำถามแปลกๆ และยังให้ความนิยมกับสิ่งที่ไม่น่าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่สื่อก็ทำไปเพียงเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจและฐานลูกค้าของตน โดยไม่มองว่าผลกระทบเหล่านั้นจะมีต่อประเทศและสังคมไทยอย่างไร

การปรับเปลี่ยนประเทศไทยนี้ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน และต้องเป็นในแนวทางที่ประชาคมโลกรับได้ เพราะประเทศไทยต้องอยู่กับสังคมโลกไปอีกนาน การที่จะอ้างว่าประเทศไทยมีลักษณะพิเศษต้องมีวิธีการที่แตกต่างกับประเทศอื่นนั้น น่าจะเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับผู้ที่ได้ประโยชน์เท่านั้น สุดท้ายก็จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่ได้รับกลับตกอยู่กับคนทั้งประเทศที่ต้องมาลำบากกันทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมกับแนวคิดและข้ออ้างแบบนี้

ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยจะต้องหันกลับมาคิด ตั้งหลักตั้งฐาน เรียนรู้จากประสบการณ์ที่สร้างความลำบากให้กันถ้วนหน้า หรือจะต้องรอให้ลำบากและเสียหาย ต้องเจ็บต้องตายกันไปมากกว่านี้ถึงจะมารู้สึกตัวกัน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจจะสายไปเสียแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image