ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก พ.ศ. 2310 แม่ทัพกรุงอังวะให้ทหารขุดรากกำแพงป้อมมหาไชย (อยู่หัวมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมืองอยุธยา ปัจจุบันเป็นตลาดหัวรอ) เพื่อระเบิดเป็นช่องทางยกทหารบุกเข้ายึดในกรุง มีบอกไว้ในพระราชพงศาวดาร จะคัดมา ดังนี้
“แม่ทัพจึงให้นายทัพนายกองค่ายวัดสามพิหาร วัดพระเจดีย์แดง วัดมณฑป เกณฑ์พลทหารยกเข้ามาทำสะพานเรือกข้ามแม่น้ำที่หัวรอริมป้อมมหาไชย
เอากระดานไม้ตาลตั้งเป็นค่ายวิหลั่นบังสะพานทั้งสองข้างกันปืนชาวพระนคร แล้วยกพลข้ามสะพานเรือกมาฟากข้างกำแพงเมือง ให้ตั้งค่ายริมศาลาดินนอกกำแพง แล้วให้ขุดอุโมงค์รุ้งไปตามยาวใต้รากกำแพง ให้ขนเอาฟืนมาใส่ใต้ราก
แล้วให้เกณฑ์พลทหารสี่กองๆ ละห้าร้อย ให้ทำบันไดเป็นอันมาก สำหรับจะพาดกำแพงปีนปล้นเอาเมืองทั้งสี่ทิศ
ตระเตรียมการทั้งปวงไว้ให้สรรพ กำหนดวันจะเข้าปล้นเอาเมืองวันใด จะให้สัญญาอาณัติด้วยเสียงปืนใหญ่เป็นสำคัญ แล้วให้เอาบันไดพาดกำแพงขึ้นปล้นเอาเมืองให้พร้อมกันทุกด้านทุกกอง”
ครั้นถึงช่วงสงกรานต์ เดือน 5 เมษายน พ.ศ. 2310 กองทัพอังวะก็ทำตามแผนบุกเข้าพระนครศรีอยุธยา
โดยพังรากกำแพงตรงหัวรอ ริมป้อมมหาไชย มีความในพระราชพงศาวดาร ดังนี้
“ลุศักราช 1129 ปีกุน นพศก ถึง ณ วันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 วันเนาว์ สงกรานต์วันกลาง พม่าจุดเพลิงเผาฟืนเชื้อใต้รากกำแพงตรงหัวรอ ริมป้อมมหาไชย
และพม่าค่ายวัดการ้อง วัดนางปลื้ม และค่ายอื่นๆ ทุกค่าย จุดปืนใหญ่ปืนป้อมและหอรบยิงระดมเข้ามาในกรุงพร้อมกัน ตั้งแต่เพลาบ่ายสามโมงเศษจนพลบค่ำ
พอกำแพงที่จุดเชื้อฟืนเผารากนั้นทรุดลงหน่อยหนึ่ง ถึงเพลาสองทุ่ม จึงให้จุดปืนสัญญาขึ้น
พลพม่าทุกด้านทุกกองซึ่งเตรียมไว้ ก็เอาบันไดพาดที่กำแพงทรุด และที่อื่นๆ รอบพระนครพร้อมกัน ก็ปีนเข้ากรุงได้ในเพลานั้น”
ความในพระราชพงศาวดารที่ยกมานี้ แต่งใหม่สมัย ร.4 โดยผู้ไม่อยู่ในเหตุการณ์จริง
ดังนั้นจะเชื่อทุกตัวอักษรคงเป็นไปไม่ได้ ต้องพิจารณาไตร่ตรองโดยดูจากสถานที่จริง แล้วเทียบการสงครามยุคโน้นทำกันจริงอย่างไร? ไม่มโนนิมิตคิดเองทั้งหมด เหมือนหนังฝรั่งหรือหนังไทยยุคปัจจุบันที่ทำตามหนังฝรั่ง
แต่จะเทียบสถานที่จริงได้อย่างไร? เพราะป้อมมหาไชยและกำแพงเมืองถูกรื้อทิ้งหมดแล้ว และไม่มีโมเดลจำลองของจริงไว้ให้ศึกษา
ป้อมมหากาฬของกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่เคยมีสงครามมาประชิด จึงไม่มีเหตุการณ์อย่างอยุธยา
แต่มีวิถีชีวิตอื่นๆ อยู่ตรงป้อมมหากาฬ จึงควรทำมิวเซียมกลางแจ้งไว้จัดแสดงประวัติศาสตร์สังคมมิให้สูญเหมือนอยุธยา