⦁…หากยังเป็นไปตามโรดแมปเดิม วันเดือนเคลื่อนใกล้ “เลือกตั้ง” เข้าไปทุกที “24 กุมภาพันธ์” ที่ กกต.บอกลงตัวที่สุด เหลืออีกแค่ 4 เดือน จึงเกิดประเมินผลกันคึกคัก ด้วยรับรู้กันว่า “ความเป็นไปทางการเมือง ส่งผลต่อธุรกิจและการลงทุนสูง” หรือแม้แต่ “ชีวิตคนธรรมดาๆ จะเป็นอย่างไร” ขึ้นอยู่กับ “นโยบายของผู้บริหารประเทศ” ว่า “จะบริหารจัดการเพื่อคนกลุ่มไหน”
⦁…ไม่ว่าจะพยายามชี้แจงอย่างไรถึง “ความจำเป็น” ต้องใช้ทฤษฎี “สร้างความร่ำรวยให้ส่วนหัวก่อน” เพื่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ “การพัฒนาฐานราก” แต่ 5 ปีที่ผ่านมา “ข้อเท็จจริงหนึ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้” คือ “รวยกระจุก จนกระจาย” ยิ่งนับวันจะชัดเจน และตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจของคนส่วนใหญ่ “ความหวังอยู่ดีกินดีจะถ่ายลงสู่คนระดับล่าง ยังมองไม่เห็นวี่แวว” เรื่องราวเหล่านี้ย่อมเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาชี้ให้เห็นใน “ช่วงหาเสียง” และจะเป็นประเด็นที่มีน้ำหนักในการตัดสินใจของประชาชน
⦁…การต่อสู้ทางการเมือง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งยิ่งชัดเจนว่า ไม่ใช่เรื่อง “ระหว่างพรรค” แต่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง “สืบทอดอำนาจเผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” ซึ่งดูเหมือนพรรคการเมืองจะค่อยๆ ตระหนักว่า “ควรจะเลือกทางเดินก่อนประชาชนจะตัดสินใจ” ซึ่งดูจะแตกต่างกันระหว่าง “พรรคใหม่” กับ “พรรคเก่า”
⦁…สำหรับ “พรรคใหม่” นั้นชัดเจนว่าจะเลือกนำเสนอตัวเองแบบไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองมีโอกาส “กลุ่มหนึ่ง” สร้างความแตกต่างด้วยความเชื่อมั่นใน “สืบทอดอำนาจ” ด้วยความคิดว่าจะทำงานง่าย เอาคนอื่นมาขายเพื่อตัวเอง แต่ “บางพรรค” ตั้งขึ้นมาเพราะ “ทนไม่ไหว” กับ “ชะตากรรมตัวเองในการเมืองแบบเก่า” หวังว่า “คนรุ่นใหม่” จะเข้าใจ แนวโน้มจะเป็นผลดีต่อแบบไหนอีกไม่กี่วันคงรู้กัน
⦁…หากมองกันด้วยปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ โดยส่องเป็นรายพรรค จะพบว่า “พลังประชารัฐ” ที่ดูจะร้อนแรง แต่ไม่เฟื่องฟูเท่าที่หวัง หลายประเด็นยังดิ้นไม่หลุดจากที่ถูกโจมตี เช่นเดียวกับพรรคอื่นในแนวนี้ ดูจะยิ่งเร่งสร้างชื่อจะยิ่งถูกมองข้ามเสียมากกว่า หากยอมรับความจริงได้ “พรรคในแนวประชาธิปไตย” กลับมีคนต้อนรับมากขึ้นเรื่อยๆ
⦁…ในส่วนของ “พรรคการเมืองเก่า” ก็ดูท่าจะไปในทางเดียวกัน ที่ชัดเจนล่าสุดเป็น “ชาติไทยพัฒนา” ที่ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ จาก “คนรุ่นใหม่” พลิกมาเป็นผสม เปลี่ยนหมดทั้ง “หัวหน้าพรรค” มาเป็น กัญจนา ศิลปอาชา และ “เลขาธิการพรรค” เป็น ประภัตร โพธสุธน ด้วยเหตุผลที่พูดกันกระฉ่อนว่า เพื่อกลับมาขายแนวทาง “ประชาธิปไตย” ได้เต็มๆ มากขึ้น งานนี้เล่ากันว่าสะท้อนชัดว่า “การทำพรรคการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องที่ผู้นำพรรคคิด พลังตัดสินแท้จริงคือความต้องการของประชาชน”
⦁…ด้วยเหตุเดียวกันนี้ “สนามชลบุรี” ที่ “ภูมิใจไทย” บุกแรง กำลังเป็นเรื่องท้าทาย “พลังชล” ว่าประเมิน “ความคิดประชาชนในพื้นที่อย่างไร” แม้ที่ผ่านมาจะแหย่ขาเข้า “ประชารัฐ” มากกว่าครึ่ง ทว่าก่อนถึงวันรับสมัคร “ความไม่แน่นอน”ยังมีไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะวางฐานไว้แน่นแค่ไหน แต่อารมณ์ความรู้สึกของประชาชน ย่อมเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้
⦁…ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ “เพื่อไทย” ที่ถูกไล่บี้ทุกรูปแบบ จนประเมินกันว่า “โอกาสที่จะกลับมาเกิดไม่เหลือแล้ว” กลับกลายเป็นว่ายิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ยิ่งกลายเป็นพรรคที่ทุกฝ่ายต้องเหลียวมามองแบบประเมินใหม่ตลอด แถมผลที่ออกมา ยังเป็น “ความหนักใจ” ว่าจะทำอย่างไร “ไม่ให้เสียของ” ด้วยว่า “ยิ่งนานวันการจัดการด้วยวิธีที่ไม่น่าเกลียดเกินไป ยิ่งหายาก”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่