บีเอ็มดับเบิลยู X4 ใหม่ รถอเนกประสงค์หรูสายลุย : โดย อาร์ม สามย่าน

หลังจากเปิดตัวไปได้ไม่นานกับ เอ็กซ์4 เอ็กซ์ไดรฟ์ 20ดี เอ็ม สปอร์ต (X4 xDrive20d M Sport) ใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ได้นำสื่อมวลชนไปทดสอบสมรรถนะกันที่ จ.เพชรบุรี

กิจกรรมการทดสอบบีเอ็มดับเบิลยู X4 จัดที่สนามแข่งรถแก่งกระจาน เซอร์กิต ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่จะได้ทดสอบขุมพลังความเร็วและความปราดเปรียวของสมาชิกล่าสุดในตระกูล X รวมทั้งชยังเป็นการทดสอบสมรรถนะทั้งแบบออนโรดและออฟโรดภายใต้คอนเซ็ปต์การประชันความเร็วแบบแรลลี่ครอส

 

มาดูกันที่ดีไซน์ภายนอก ค่อนข้างมีความเฉพาะตัว ดูปราดเปรียว คงเอกลักษณ์ในแบบสปอร์ต แอ๊กทิวิตี้ คูเป้ (Sports Activity Coupe) คันแรกของรถยนต์ขนาดกลาง เป็นสมาชิกของบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล X ผสมผสานดีไซน์แบบคูเป้คลาสสิก ครั้งแรกที่เห็น ก็ให้ความรู้สึกทันทีเลยว่ามันแตกต่าง เด่นชัดมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า

Advertisement

ส่วนมิติตัวรถนั้นต้องบอกว่าทั้งยาวทั้งกว้างและมีฐานล้อที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นเดิม นั่นคือ ขนาดยาวขึ้น 81 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 37 มิลลิเมตร และฐานล้อกว้างขึ้น 54 มิลลิเมตร แต่ความสูงลดลง 3 มิลลิเมตร นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระอีก 25 ลิตร เป็น 525 ลิตร และขยายได้สูงสุดถึง 1,430 ลิตร ด้วยการพับพนักพิงที่นั่งด้านหลังที่พับแยกได้สามตอนแบบ 40/20/40

  

การตกแต่งของ BMW X4 คันนี้ เสริมด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและชุดแต่ง M Sport ขึ้นชื่อของค่ายนี้ พร้อมด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ลายดับเบิล สโปก (Double-spoke) ขนาด 245/50 R19 ค่อนข้างที่จะสะดุดตาทีเดียว ทาง BMW ยังใส่เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนใหม่ล่าสุดมาเต็ม ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการขับขี่ขณะเข้าโค้ง (Performance Control) พวงมาลัยไฟฟ้าอัจฉริยะแบบสปอร์ต ระบบไดรฟ์วิ่ง แอสซิสแทนต์ (Driving Assistant) และช่วงล่างแบบ M Sport เอาอยู่ในย่านความเร็วสูง

Advertisement

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 1995 ซีซี มาพร้อมเทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู ทวิน เพาเวอร์ เทอร์โบ (BMW TwinPower Turbo) ให้พละกำลังสูงสุดที่ 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8 วินาที ทะยานสู่ความเร็วสูงสุด 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ให้สมรรถนะที่คล่องตัวในทุกสภาพท้องถนนด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ไดรฟ์ (xDrive) ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ สเตปทรอนิก (Steptronic) 8 จังหวะ และด้วยเทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู เอฟฟิเชียนท์ไลท์เวต (BMW EfficientLightweight)

บีเอ็มดับเบิลยู X4 ใหม่ จึงมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50 กิโลกรัม และยังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ภายในเซกเมนต์เดียวกัน ส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยเพียง 17.9 กม./ลิตร

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport ใหม่ ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตผสมกับความหรูหรา ทั้งเบาะที่นั่งแบบสปอร์ตและเบาะรองเข่าที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น รองรับการกระจายน้ำหนักของร่างกายเป็นอย่างดี ช่วยให้ไม่เมื่อยง่าย เวลานั่งระยะไกล

นอกจากนี้ หลังคากระจกแบบพาโนรามายังช่วยเสริมให้ภายในตัวรถโปร่งสบายยิ่งขึ้น มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น M Sport ที่ให้สัมผัสที่ดี เบาะหนังแท้ เวอร์นาสกา (Vernasca) แผงคอนโซลหุ้มหนัง เซนซาเทค (Sensatec) ตกแต่งภายในด้วยอะลูมิเนียมโรห์มไบเคิล (Aluminium Rhombicle) พร้อมแถบโครเมียม

บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบ ไอไดรฟ์ (iDrive) ใหม่ล่าสุด ระบบการสั่งการด้วยเสียงและบีเอ็มดับเบิลยยู เกสเจอร์ คอนโทรล (BMW Gesture Control) รวมถึงบีเอ็มดับเบิลยู คอนเน็กเต็ดไดรฟ์ (BMW ConnectedDrive) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการสั่งการต่างๆ ระหว่างการขับขี่ รวมถึงเป็นระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการสื่อสาร

นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ BMW ได้ใส่เทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ให้ปลอดภัย เช่น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับรถและคนเดินถนนด้วยความเร็วต่ำ (Person Warning with City Braking Function) ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนด้านหลัง (Rear-collision prevention) ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร (Lane Departure Warning) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา (Blind spot detection) ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง (Crossing-traffic warning rear) ระบบเตือนป้ายจราจร (Speed limit info and no-overtaking indicator) เป็นต้น

จากการทดลองขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport ใหม่ ที่สนามแก่งกระจานเซอร์กิต ได้ทดสอบอัตราเร่ง และกำลังของเครื่องยนต์ถือว่าเพียงพอ

สถานีแรกที่ทดสอบ คือการขับสลาลม (Slalom) เป็นการขับรถอ้อมไพลอนที่วางไว้ ได้ทดสอบทั้งพวงมาลัย ช่วงล่าง การเข้าโค้ง และการทรงตัวบนทางหินกรวด รวมถึงระบบเบรก ผลออกมาค่อนข้างประทับใจ รถทรงตัวได้จากระบบช่วยเหลือการขับขี่

ส่วนการทดสอบในสนาม รวมถึงการเข้าโค้ง ต้องบอกว่าเอาอยู่ แม้จะเป็นสไตล์รถออฟโรด ที่มีน้ำหนัก 1,815 กิโลกรัม แต่ความรู้สึกเหมือนขับรถเก๋ง พวงมาลัยมีน้ำหนักปรับตามความเร็ว ให้สัมผัสค่อนข้างดี แม่นยำ

บางช่วงที่ต้องขับบนทางฝุ่น หรือถนนดินที่มีหินด้วยความเร็วระดับ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ให้ความรู้สึกนิ่มนวลไม่ได้ดีเด่น แต่อยู่ในระดับที่รับได้

ช่วงล่างซับแรงกระแทกได้ดีพอประมาณบนทางฝุ่น แลกกับความมั่นใจมากขึ้นในการขับขี่และเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เพิ่มเติมความสนุกด้วย Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ก็ตอบสนองไวดี

ราคาค่าตัวอยู่ที่ 3,999,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพคเกจ บีเอสไอ สแตนดาร์ด (BSI Standard)

อาร์ม สามย่าน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image