ยุติธรรม’ส่องบาตร’ โดย กล้า สมุทวณิช

แฟ้มภาพ

ถ้าไม่ใช่ยุคสมัยที่ผู้คนอาจจะเข้า “คุก” หรือเรือนจำได้ง่ายๆ ด้วยคดีการเมือง เพียงเพราะการแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเชิงสัญลักษณ์ เราก็คงไม่ได้รับทราบปัญหาของการละเมิดสิทธิในกระบวนยุติธรรมทางอาญาว่าอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ขนาดนี้

เราเคยได้อ่านสารคดีหรือเรื่องเล่าประสบการณ์จากในคุกกันอยู่บ่อยๆ และได้ทราบถึงข้อจำกัดกับสิทธิเสรีภาพอันจำเขี่ยของผู้ที่ถูกขังอยู่ภายในแล้ว ส่วนใหญ่ที่เราได้รับรู้รับฟังนั้นมาจากกรณีของผู้ถูกกักขังที่อย่างน้อยก็มีคำพิพากษาจากศาลใดศาลหนึ่งเป็นอย่างน้อยว่ากระทำผิดจริง

แต่ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ช็อก เพราะไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์อันรุนแรงละเมิดสิทธิเหล่านั้น จะถูกบังคับใช้แม้แต่กับคนที่มีสถานะเพียงจำเลยที่ศาลยังไม่ตัดสิน เรื่องของนักศึกษาหญิงที่ถูกละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายในระดับเหยียดหยามทางเพศที่เธอบอกเล่าต่อสาธารณะนั้น ถูกเปิดเผยออกมาให้สังคมได้รับรู้อย่างชวนรังเกียจและหดหู่

และที่สิ้นหวังหนักยิ่งขึ้นไปคือ “ท่าที” จากผู้ใหญ่ในกระทรวง ที่ออกมายืนยันว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เป็นวิธีปฏิบัติตามปกติ เจ้าหน้าที่กระทำการถูกต้อง มาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อป้องกันการนำยาเสพติดเข้าไปในเรือนจำ และทางเรือนจำคงจะละเว้นให้ใครหรือคดีไหนเป็นพิเศษไม่ได้

Advertisement

พาให้เรานึกไปถึงที่มาของสำนวนไทยที่มีพระอาวุโสรูปหนึ่ง เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วล้างบาตร ก่อนจะคว่ำตาก ท่านจะนำบาตรขึ้นมาส่องกับแสงแดด เพื่อดูว่าบาตรนั้นรั่วหรือทะลุตรงไหนบ้างหรือไม่ พระลูกศิษย์เห็นเข้าก็ทำตาม จากรูปสองรูปกลายเป็นทั้งวัดทำตาม บางคนไม่รู้ว่าเขาส่องกันทำไมก็ส่องไปด้วยอย่างพฤติกรรมหมู่คณะ จนในที่สุดแม้หลวงพ่อผู้เริ่มส่องบาตรนั้นมรณภาพไปเป็นสิบๆ ปี พระผลัดเปลี่ยนกันหลายรุ่น แต่พระวัดนั้นก็ยังคงมีวัตรปฏิบัติในการ “ส่องบาตร” อยู่ โดยไม่มีใครรู้ว่าจะส่องไปทำไม เห็นเขาส่องกันมาก็ส่องตามๆ กันไป

เป็นที่มาของสำนวน “เถรส่องบาตร”

การตรวจคัดกรองมิให้ยาเสพติดเข้าไปในเรือนจำ เป็นเรื่องที่จำเป็นและมีเหตุผล เรายอมรับตรงนี้ได้ และสมมุติว่าเรากลั้นใจยอมรับได้อีกว่า ไม่มีวิธีไหนที่จะตรวจได้ดีเท่าวิธีให้ผู้คุมตรวจต่อเนื้อตัวร่างกายเช่นนั้นแล้วก็เถิด

Advertisement

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ที่ได้รับการประกันตัวจากศาลแล้ว ส่งมาปล่อยตัวที่เรือนจำเป็นเพียงแบบพิธี อย่างไรเสียเขาและเธอก็จะไม่ได้เข้าไปในเขตของเรือนจำพบปะผู้ต้องขังอื่น ต่อให้นำของผิดสำแดงใดๆ มา ของสิ่งนั้นก็ไม่มีทางหลุดไปสู่เรือนจำได้เลยมิใช่หรือ

จะบอกว่าเรือนจำไม่รู้ข้อมูลเบื้องต้นพวกนี้ในยุคไอทีขนาดนี้ก็เป็นข้อแก้ตัวที่เหยาะแหยะอ่อนยวบ เพราะมันควรมีกระบวนการใดๆ ที่จะสื่อสารกันว่า ผู้ต้องขังที่ได้รับการประกันตัว หรืออาจได้รับการประกันตัว จะต้องแยกไว้ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง อย่างสมเหตุสมผลและไม่เป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่

ไม่ใช่ทำทุกอย่างแบบเถรส่องบาตร อ้างว่าเพื่อไม่ให้ของร้ายเข้าเรือนจำเอากับคนที่ไม่ต้องเข้าไปในเรือนจำ

แน่นอนว่าทุกคนนั่นแหละยอมรับในหลักการว่า คุกหรือเรือนจำนั้นเป็นสถานที่เอาไว้กักขังผู้ที่ต้องโทษกระทำความผิดกฎหมายบ้านเมือง การมีสิทธิและเสรีภาพในแดนตะรางนั้นก็คงจะเรียกร้องเอามาตรฐานเดียวกับผู้คนที่อยู่ภายนอกไม่ได้ แต่การลิดรอนเสรีภาพของผู้ที่จะต้องถูกกักขังนั้น อย่างไรเสียก็ควรกระทำ “เท่าที่จำเป็น”

ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เป็นที่เลื่องลือกันว่า “คุก” ที่นั่นคล้ายกับหอพักที่ห้ามออกนอกบริเวณดีๆ นี่เอง มีทุกอย่างเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีหากอยู่ข้างนอก ทั้งอาหารที่ได้มาตรฐานเหมือนชาวบ้านประเทศนั้นกินกัน มีโทรทัศน์และสิ่งให้ความบันเทิง เคยมีคดีที่นักโทษในเรือนจำของประเทศหนึ่งในกลุ่มนั้นฟ้องร้องต่อศาลต่อเรือนจำว่าละเมิดสิทธิ โดยหนึ่งในข้อกล่าวอ้างคือเรือนจำจัดเครื่องเล่นเกมให้เป็นเครื่องรุ่นเก่าเกินไป ปรากฏว่าศาลตัดสินให้ชนะและถือว่าเรือนจำละเมิดสิทธิจริง !

แม้จะฟังดูน่าหมั่นไส้ หากแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังประเทศเหล่านี้คือ ผู้ที่ต้องถูกกักขังในเรือนจำนั้น สิ่งเดียวที่ “รัฐ” อาจจะพรากไปจากเขาได้นั้นก็เพียงเสรีภาพในการเดินทาง ในเนื้อตัวร่างกายเพียงเท่าที่จำเป็นต่อการรักษาความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยของสถานที่คุมขัง นอกจากนั้นเขายังต้องมีสิทธิอื่นๆ เหมือนคนนอกคุกทุกประการ

เราไม่เสียสติพอที่จะเรียกร้องว่านักโทษในเรือนจำของไทยจะต้องมีเครื่องเกม Playstation 4 เล่น เอาแค่ว่าสิทธิต่างๆ ไม่ถูกละเมิดไปเกินจำเป็นก็น่าจะพอแล้ว

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ต้องขังที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่ากระทำความผิดใดๆ หากจะต้องถูกควบคุมตัว ควรจะต้องมีสถานที่ควบคุมตัวอื่นหรือไม่ สถานที่ซึ่งไม่ใช่เรือนจำซึ่งเอาไว้กักขังผู้กระทำความผิดเด็ดขาดตามคำพิพากษา เชื่อว่าข้าราชการที่เกี่ยวข้องน่าจะเคยไปดูงานต่างประเทศมาแล้ว ก็คงได้ทราบว่าในต่างประเทศเขาจัดสถานที่กุมขังคนรอขึ้นศาลแยกจากนักโทษในเรือนจำ

เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการเมือง การปฏิบัติอันละเมิดสิทธินี้อาจเกิดกับใครก็ได้ ใช่ว่าเชื่อว่าตัวอยู่สงบๆ ไม่ต่อต้านรัฐบาลแล้วคงไม่โดนอะไรนั้นไม่ใช่เลย แม้ท่านจะเป็นข้าราชการระดับสูง หรือนักธุรกิจสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ หากวันร้ายคืนร้ายมีใครไปฟ้องร้องกล่าวหาท่านต่อศาล อาจจะเป็นเรื่องความผิดต่อหน้าที่ราชการหรือความผิดทางธุรกิจ เช่น จ่ายเช็คเด้งหรือปลอมลายเซ็นรับรองเอกสาร (ที่ท่านคิดว่าใครๆ เขาก็ทำกัน) และเกิดเหตุให้ต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเพราะประกันตัวไม่ได้หรือไม่ได้ประกันตัว

ท่านก็จะต้องถูกจับเปลือยร่างแล้วถูกผู้คุมล้วงตรวจเข้าไปในช่องคลอดหรือทวารหนักของท่านได้เช่นเดียวกับข่าวที่ปูดออกมานี้ ก่อนหน้านี้ในเว็บพันทิป ก็เคยมีคนที่เป็นจำเลยและเกิดเหตุให้ยื่นประกันตัวไม่ทัน มาบอกเล่าประสบการณ์ที่ไม่ผิดไปจากเรื่องเล่าของนักศึกษาท่านนี้

จึงต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราทุกคนต้องเรียกร้องอย่างจริงจังให้กระทรวงยุติธรรมนั้นปรับเปลี่ยนกระบวนการเหล่านี้ให้ “ยุติธรรม” จริงสมดังชื่อของกระทรวง และเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสาระสำคัญ มิใช่ถือเพียงวัตรปฏิบัติอันไร้เหตุผลเหมือนเถรส่องบาตร แล้วอ้างว่านี่คือมาตรฐานที่หย่อนเว้นให้ใครไม่ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image