สื่อตะวันตกกับปัญหาซินเจียงของจีน : โดย ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์

ภายหลังจากสงครามเย็นอันเป็นสงครามอุดมการณ์ระหว่าง ประชาธิปไตยทุนนิยมแบบตะวันตกกับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบตะวันออก สิ้นสุดลงในปลายศตวรรษที่ 20 ความขัดแย้งในเรื่องศาสนาและเชื้อชาติได้ก่อตัวขึ้นในต้นศตวรรษที่ 21 โดยมีเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ที่เมืองนิวยอร์ก เป็นสัญลักษณ์และจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ในทางหนึ่งอารยธรรมอิสลามได้ปะทะกับอารยธรรมตะวันตก มีการก่อการร้ายโดยมุสลิมในเมืองใหญ่ของตะวันตกหลายครั้งหลายหน และอิสลามกำลังขยายตัวในทุกหนทุกแห่งทั่วโลก ทั้งในรูปแบบสันติและในรูปแบบการก่อการร้าย มีความพยายามจะจัดตั้ง “รัฐอิสลาม” ขึ้นโดยใช้กำลังทหารโดยตรงในซีเรีย และรัฐอิสลามโดยลัทธิก่อการร้ายในอีกหลายประเทศทั่วโลก เช่น มินดาเนาของฟิลิปปินส์ ปัตตานีของไทย และซินเจียงของจีน เป็นต้น โดยมีแนวคิดอิสลามสุดโต่งจากตะวันออกกลางอยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารขึ้นในเอเชีย

ขณะเดียวกันผลแห่งสงครามเย็น และการแข่งขันทางอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในปัจจุบัน ทำให้อารยธรรมตะวันตกยังคงปะทะกับอารยธรรมจีนอย่างต่อเนื่อง และจีนเองก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากปัญหามุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ก่อให้เกิด “การปะทะทางอารยธรรม 3 เส้า” (Triangular Clash of Civilization) ขึ้น

ตะวันตกฉวยโอกาสนี้โจมตีจีนในปัญหาอุยกูร์ในซินเจียงของจีน โดยอาศัยนักวิชาการและสื่อมวลชนตะวันตกเป็นเครื่องมือ และอ้างหลักการ “สิทธิมนุษยชน” เพื่อสร้างความสับสนเข้าใจผิดและความแตกแยกขึ้นในแผ่นดินจีน

พยายามยุยงให้เกิดความบาดหมางเข้าใจผิดระหว่างจีนกับโลกอิสลาม อันจะเป็นประโยชน์ต่อโลกตะวันตกเอง

Advertisement

สื่อตะวันตกกับปัญหามุสลิมอุยกูร์ในซินเจียงของจีน

จีนเป็นประเทศที่มีคนหลากเชื้อชาติหลายศาสนา อยู่ร่วมกันอย่างสันติมาโดยตลอดประวัติศาสตร์ รวมทั้งกลุ่มชนเผ่าอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน เมื่อประเทศจีนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีอิทธิพลในเวทีการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น ตะวันตกต้องการจะหยุดยั้งจีนมิให้ขึ้นมาเป็นคู่แข่ง สื่อตะวันตกจึงพุ่งเป้าโจมตีประเทศจีนมากขึ้นเป็นลำดับ โดยรายงานข่าวจากมุมมองของตะวันตกเกี่ยวกับซินเจียงด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

สื่อตะวันตกมักจะใช้เรื่อง “การปกป้องสิทธิมนุษยชน” และ “การให้เสรีภาพทางศาสนา” เป็นข้ออ้างในการโจมตีประเทศจีน ทั้งนี้ เพื่อต้องการแทรกแซงกิจการภายในของจีน สร้างความแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติภาษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหามุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงของจีน ด้วยการอ้าง “ทฤษฎีความเป็นอิสระทางประวัติศาสตร์” และ “ทฤษฎีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของจีน สร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้ง ความแตกแยก อันจะนำไปสู่การก่อการร้าย และการแบ่งแยกดินแดนในที่สุด

Advertisement

ในบรรดาชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ กลุ่มวัยรุ่นจะถูกปลุกปั่นยุยงด้วยแนวคิดอิสลามสุดโต่งจากตะวันออกกลาง ให้แบ่งแยกผู้คนตามเชื้อชาติและศาสนา ละเลยกฎหมายแต่งงาน ต่อต้านการวางแผนครอบครัว ต่อต้านคนที่ไม่ใช่มุสลิมว่าเป็นคนนอกศาสนา ต่อต้านความทันสมัย มองรัฐบาลเป็นศัตรู เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เชิดชูผู้ก่อการร้ายและลัทธิก่อการร้าย โดยการอ้างอย่างผิดๆ ว่าตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ วัยรุ่นมุสลิมอุยกูร์บางส่วนลักลอบออกนอกประเทศจีนอย่างผิดกฎหมาย เพื่อไปเข้าร่วมกับกองกำลัง “รัฐอิสลาม” (Islamic State หรือ IS) ในซีเรีย แล้วนำแบบแผนจากการสู้รบไปใช้ปฏิบัติการก่อการร้ายในมณฑลซินเจียง (สถิติในปี 2004-2005 มุสลิมอุยกูร์หัวรุนแรงจากเขตซินเจียง 8,000-10,000 คน ลักลอบเดินทางเข้าไปในตุรกี และอีกประมาณ 4,000 คน แอบเข้าร่วมกับกองกำลัง “รัฐอิสลาม”)

เหตุการณ์ก่อการร้ายที่รุนแรง ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ เกิดขึ้นหลายครั้งในมณฑลซินเจียงของจีน เช่น ปี 2012 เกิดขึ้นกว่า 190 ครั้ง ปี 2013 เกิดขึ้นกว่า 200 ครั้ง ปี 2014 เกิดกว่า 490 ครั้ง ปี 2015 เกิดกว่า 500 ครั้ง และปี 2016 เกิดขึ้น 818 ครั้ง จากข้อมูลของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ถูกจับได้ ทุกคนถูกมอมเมาด้วยความคิดสุดโต่งทางศาสนา

มุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่งทั้งจากภายในและภายนอกประเทศได้จัดตั้งกองกำลังก่อการร้ายขึ้น ปลุกระดมแนวคิด “รัฐซินเจียงอิสระ” เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศจีน

ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลที่ไหนๆ ในโลกก็ไม่อาจยอมรับลัทธิแบ่งแยกดินแดนได้ รวมทั้งรัฐบาลจีนด้วย

รัฐบาลจีนใช้นโยบายไม่เอาผิดกับมุสลิมหัวรุนแรงที่กลับใจเข้ามอบตัว โดยปรับเปลี่ยนแนวคิดของมุสลิมเหล่านี้เสียใหม่ ด้วยการศึกษาและการฝึกอบรมอาชีวศึกษา เพื่อให้มีแนวคิดใฝ่ไปทางสันติ ไม่ทำร้ายสังคม สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง มีหลักประกันในชีวิต เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการกลับคืนสู่สังคมปกติได้อย่างราบรื่น

จีนได้ดำเนินนโยบายพิเศษเกี่ยวกับเขตปกครองตนเองซินเจียง โดยให้ความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนแก่ชนเผ่าอุยกูร์ในซินเจียงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ มณฑลอื่นๆ ของจีนยังให้ความช่วยเหลือแก่ซินเจียงเป็นกรณีพิเศษ เมือง 19 แห่งทั่วประเทศสนับสนุนเขตปกครองตนเองซินเจียง ในนโยบาย “ลดช่องว่างความยากจน” “ชนกลุ่มน้อยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” และ “ชนชาติสามัคคีเหมือนครอบครัวใหญ่” พัฒนาธุรกิจต่างๆ ฝึกทักษะอาชีพให้แก่ประชาชนเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ สถานการณ์ในซินเจียงมีเสถียรภาพและความมั่นคงขึ้นโดยลำดับ แต่สื่อตะวันตกกลับละเลยไม่รายงานข่าวในเรื่องเหล่านี้

สื่อต่างชาติตะวันตก รวมทั้งนักวิชาการตะวันตกบางส่วน ทำตัวคล้ายกับเป็นปากเสียงให้กับกลุ่มก่อการร้ายที่มีแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา เช่น การประโคมข่าวที่บิดเบือนว่า “รัฐบาลซินเจียงจับกุมชาวซินเจียงกว่าร้อยคนเพื่อล้างสมอง” และ “ซินเจียงเป็นตะรางกลางแจ้งขนาดใหญ่” เป็นต้น ภายหลังจากสงครามเย็น ตะวันตกต้องการที่จะสร้าง “ทฤษฎีการคุกคามของจีน” ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ประเด็นเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เป็นเครื่องมือและข้ออ้างในการโจมตีประเทศจีน ทำให้เกิดความสับสนในประชาคมระหว่างประเทศ และความคิดเห็นที่ผิดพลาดของสาธารณชนในระดับนานาชาติ

ถ้าสื่อต่างชาติมีความเป็นกลางอย่างแท้จริงตามหลักวิชาชีพแล้ว “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” คือสิ่งสำคัญอันดับแรกของข่าวสาร การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้และการรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมาต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทั้งในมณฑลซินเจียงของจีนและภูมิภาคอื่นของโลก จะทำให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ และเกิดสันติภาพขึ้นบนโลกนี้

บทสรุป
จากประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลามที่เจืออยู่ด้วยการสงครามมาโดยตลอด ทำให้มุสลิมเกือบจะทุกแห่งในโลกไม่พยายามปรับตัว เพื่อให้เข้ากับโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมที่ตนเองเข้าไปอาศัยอยู่ด้วย จีนเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่ไม่นับถือศาสนา แต่รัฐธรรมนูญจีนก็มีบทบัญญัติให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา มุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงได้รับอนุญาตให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจของตนเองได้ แต่ก็มีมุสลิมบางส่วนนำเอาแนวคิดสุดโต่งจากตะวันออกกลางมาสร้างปัญหาในซินเจียงอยู่นั่นเอง มุสลิมในประเทศต่างๆ รวมทั้งในประเทศจีน อาจจะเกิดความสับสนขึ้นมาระหว่าง “รัฐในเชิงรัฐศาสตร์” กับ “การจำแนกประชากรตามเชื้อชาติและศาสนา”

“รัฐในเชิงรัฐศาสตร์” ประชาชนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา อาศัยอยู่ภายใต้กฎหมายและอำนาจรัฐเดียวกัน ในปัจจุบันสังคมสมัยใหม่เป็น “พหุสังคม” (Pluralist Society) ที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างสีผิว ต่างศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แนวคิดที่จะให้ “คนเชื้อชาติหนึ่ง” หรือ “คนสีผิวหนึ่ง” หรือ “คนศาสนาหนึ่ง” แยกตัวออกไปตั้งรัฐอิสระของตนเองขึ้นมา โดยใช้เชื้อชาติ สีผิว และศาสนาของตนเป็นข้ออ้างนั้น นับเป็นแนวคิดสุดโต่งอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง และจะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก สื่อตะวันตกมักจะใช้ข้ออ้างในเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ในการโจมตีรัฐบาลของประเทศนั้นๆ โดยที่ละเลยไม่วิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการก่อการร้ายและการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม รวมทั้งการระเบิดพลีชีพ ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้อิสลามขัดแย้งกับรัฐบาลในประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย และโดยเฉพาะเจาะจงไปที่ประเทศจีน ใน “การปะทะทางอารยธรรม 3 เส้า” ระหว่างอารยธรรมตะวันตก อารยธรรมอิสลาม และอารยธรรมจีน

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image