ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกประกาศ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 พ.ศ.2561
ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ธันวาคมนี้
โดยกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ลามไปถึงภรรยานอกกฎหมายที่ปรากฏพฤติการณ์ ที่บุคคลภายนอกสามารถรับรู้ได้
ในส่วนนี้น่าจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะส่วนใหญ่รู้กฎกติกาอยู่แล้ว
แต่ที่น่าวิตกกังวลจะเป็นบรรดานายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งรวมทั้งคู่สมรส และบุตรด้วยนั้น
หากพิจารณาอย่างผิวเผินก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดีน่าสนับสนุน เพราะเท่ากับว่ามาตรการนี้จะเป็นการสร้างความ “โปร่งใส” ให้กับองค์กรของสภามหาวิทยาลัยว่าบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งนายกสภาก็ดีหรือกรรมการก็ดี
ต้องเป็นคนที่ “คลีน”
แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปอีกจะเห็นว่ามาตรการนี้ไม่น่าจะสอดคล้องกับหลักการตรวจสอบมากนัก
เพราะว่าการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งใดๆ นั้นน่าจะมาจากแนวคิดในเรื่องของตำแหน่งผู้บริหารองค์กร เพราะอย่าลืมว่าการดำรงตำแหน่งของเขามันมี “ช่องทาง” หรือ “โอกาส” ที่ง่ายในการกระทำ “ทุจริต” หรือเกิดผลประโยชน์ “ทับซ้อน”
ที่สำคัญตรวจสอบได้ไม่ง่าย!?
ดังนั้นการแสดงบัญชีทรัพย์สินสำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งลักษณะนี้จะช่วยป้องปรามการกระทำผิด
และถ้ามีความผิดปกติก็สามารถขยายผลต่อจนกระทั่งจัดการกับผู้กระทำผิดได้
หากมองมุมนี้เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยรวมทั้งกรรมการ
ยังมองไม่ออกว่าตำแหน่งเหล่านี้จะเกิดการทุจริตในขั้นตอนใด
เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นเพียง “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ในการศึกษาที่ได้รับเชิญมาเป็นกรรมการ
พูดได้ว่าแทบจะส่งเทียบเชิญกราบกรานกันเข้ามานั่งให้ครบองค์ประชุม
บางคนนั่งเป็นนายกสภาฯ กรรมการสภากันหลายแห่ง
ค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นเพียง “เบี้ยประชุม”
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางสถาบันอาจมีนายกสภา กรรมการสภา เป็นเจ้าของบริษัทหรือเครือญาติทำธุรกิจ
อาจใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ได้บ้าง
แต่ถือว่ามีเพียงส่วนน้อย
การ “เหมาเข่ง” แบบนี้จึงมีปัญหาที่ผู้ทรงคุณวุฒิจะลาออกกันเป็นแถวยาว
อย่าลืมว่าผู้ที่จะลงในเรื่องทางปฏิบัติคือคณะผู้บริหารสถานศึกษา
และที่น่าตกใจอีกประเด็นคือหลักเกณฑ์นี้จะต้องใช้กับมหาวิทยาลัยสงฆ์ด้วย
ซึ่งจะมีพระเป็นกรรมการอยู่ด้วย
อย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ อาจเกิดภาพแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้ากลับไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของสังคม
ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน!?
ดังนั้นรัฐบาลและ ป.ป.ช.ต้องรีบหาทางออกก่อนปัญหาจะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้!?!
เทวินทร์ นาคปานเสือ