ปัญหาสหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ได้ผ่านการเจรจาท่ามกลางภาวะที่ระส่ำระสายเป็นเวลา 20 เดือนเศษ ในที่สุดได้บรรลุสัญญาข้อตกลง (ฉบับชั่วคราว)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ต้องขอมติเห็นชอบจากรัฐสภา จึงจะมีผลใช้ได้ แต่จำนวนสมาชิกของพรรคอนุรักษนิยมไม่เพียงพอ เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นเรื่องยาก ซ้ำร้ายภายในพรรคได้เกิดการแตกแยกเป็นวงกว้างและมีสมาชิกจำนวนมากในรัฐสภาเตรียมแผนลับเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “เทเรซา เมย์”
ความเสื่อมกำลังจะมาเยือน
สหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปยังมีประเด็นความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้ออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งยังไม่สามารถเจรจาทำความเข้าใจและรับรู้ร่วมกัน ต่างมีความระแวงและไม่เชื่อใจซึ่งกัน
สัญญาตกลงออกจากสหภาพยุโรป จะมีผลบังคับใช้วันที่ 29 มีนาคม 2019 หลังจากนั้นมีเวลาอีก 21 เดือนที่เรียกว่า “Transition Period” เพื่อให้ทำการเจรจาปัญหาที่ตกค้าง
กรณีพอจะอนุมานได้ว่า การเจรจาคงเปี่ยมด้วยความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายประเด็น รวมทั้งประเด็นที่ “สกอตแลนด์” ได้เสนอให้มีการลงประชามติใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย
อนาคตของสหราชอาณาจักรจึงมากด้วยปัญหา เส้นทางการเมืองก็เต็มไปด้วยขวากหนาม
ปัญหาออกจากสหภาพยุโรป หลังจากได้ลงประชามติเมื่อ 23 มิถุนายน 2016 ความกังวลที่สถิตในดวงหทัยของคนอังกฤษคือ “ซอฟต์แลนดิ้ง” หรือ “ฮาร์ดแลนดิ้ง”
เวลาผ่านมาประมาณ 29 เดือน
วันนี้ความกังวลดังกล่าวของคนอังกกฤษก็ยังไม่คลาย
อัน “ซอฟต์แลนดิ้ง” คือการแยกตัวออกด้วยความละมุนละม่อม
ส่วน “ฮาร์ดแลนดิ้ง” คือการจบลงด้วยความเจ็บปวด
สัญญาข้อตกลงฉบับชั่วคราวระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปนั้น ยังต้องผ่านมติความเห็นชอบจากรัฐสภาของทั้งสองฝ่าย จึงจะมีผลสมบูรณ์
ถ้ารัฐสภาสหราชอาณาจักรไม่เห็นชอบ น่าจะมีความเป็นไปได้ 2 ประการ
1 คือขอให้มีการเจรจาใหม่ หรือขอให้มีการลงมติใหม่ภายใน 21 วัน
หากสหภาพยุโรปปฏิเสธการเจรจาใหม่ หรือรัฐสภาใช้สิทธิยับยั้ง
ย่อมหมายถึง “ฮาร์ดแลนดิ้ง” มาเยือน
ถ้าทั้งรัฐสภาสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปมีมติเห็นชอบรับรองสัญญาข้อตกลงการแยกตัวฉบับชั่วคราว ก็คือ “ซอฟต์แลนดิ้ง”
ความเป็นไปได้อีก 1 คือ กดดันให้ “เทเรซา เมย์” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด แล้วจัดการเลือกตั้งใหญ่ขึ้นใหม่ น่าจะเป็นเหตุผลดีที่จะแจ้งให้สหภาพยุโรปชะลอดำเนินการตามวาระแห่งสัญญาข้อตกลงแยกตัว (ฉบับชั่วคราว) ไปพลางก่อน
ถ้าสหภาพยุโรปปฏิเสธการร้องขอ ก็ไม่แคล้ว “ฮาร์ดแลนดิ้ง”
มิฉะนั้น รัฐสภาสหราชอาณาจักรก็ต้องเสนอให้มีการทำประชามติอีกครั้งหนึ่ง
จากผลการลงประชามติเมื่อปี 2016 นั้น คนอังกฤษเห็นด้วย 52% ไม่เห็นด้วย 48%
คะแนนที่เหลื่อมล้ำกันไม่มาก ก็เพราะพื้นฐานความสามารถแห่ง “การรับรู้ร่วมกัน” ยังละอ่อน
สหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปเป็นพันธมิตรกันมารวมเวลา 40 ปีเศษ
แต่ปัญหาเกี่ยวกับ “อยู่” หรือ “ไป” นั้น การเจรจาไม่มีวันสิ้นสุด เพราะมีการยื้อถ่วงหน่วง
พินิจพิเคราะห์เห็นว่า การตัดสินใจของ 2 ฝ่าย ยังปราศจากความมั่นใจ ความลังเลจึงเกิด
วันนี้ คนอังกฤษส่วนหนึ่งเห็นว่าการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เรตติ้งของคนคัดค้านนับวันสูงขึ้น และมีความประสงค์ให้มีการทำประชามติใหม่
ปัญหายังมีมากภายในสหราชอาณาจักร ซึ่งมากด้วยความสับสน ความถูกผิดมิอาจแยกแยะ
นอกจากความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน ภายในพรรคอนุรักษนิยมก็แตกเป็น 2 พวก เวลา 2 ปีที่ผ่านมาบรรดาอำมาตย์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เจรจาปัญหาการแยกตัวได้ลาออก 2 คน รัฐมนตรีหลายคนทำการประท้วงด้วยการลาออกเช่นกัน
คู่สนทนาเจรจาการแยกตัวคือ พันธมิตร 27 ประเทศ กระดูกต่างเบอร์ ความคิดแตกแยก
นอกจากนี้ ระหว่างที่ทำการเจรจาอยู่ในห้วงเวลาที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีมีการเลือกตั้งใหญ่ ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงประเด็นของจุดยืนอีกด้วย เพิ่มความลำบากให้มากขึ้น เช่น มีการเรียก “ค่าแยกตัว” ถึง 5.20 หมื่นล้านปอนด์ ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 9.20 หมื่นล้านปอนด์
แต่สหราชอาณาจักรต่อรองเหลือ 1.80 หมื่นล้านปอนด์
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ ระหว่างประเทศพันธมิตรในสหภาพยุโรปไม่มีหน่วยงานศุลกากรและตรวจคนเข้าเมือง เป็นเหตุให้เกิดความสับสนในด้านพรมแดน ฉะนั้น เมื่อสหราชอาณาจักรแยกตัว ก็ต้องมีการสร้างเขตแดนขึ้นใหม่ เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้งบมหาศาล
การแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ย่อมต้องกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรปก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เช่น สินค้าที่เยอรมนีส่งออกไปยังสหราชอาณาจักร เป็นการสร้างงานให้ประชาชนเยอรมันถึง 7.7 แสนตำแหน่ง เป็นปัญหาใหญ่ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า
นอกจากนี้ ยังเป็นหนทางวิบากของสหภาพยุโรป เพราะเห็นได้จากการที่ระบุไว้ในสัญญาฉบับชั่วคราว มีความตอนหนึ่งว่า “หลังการแยกตัว สหราชอาณาจักรจะออกกฎหมายที่มีเงื่อนไขการแข่งขันทางการค้าที่มีมาตรฐานต่ำกว่าสหภาพยุโรปมิได้” เป็นมาตรการป้องกันตัว
สหราชอาณาจักรจึงอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
มองอดีตเมื่อ 2011 สหราชอาณาจักรประสบวิกฤตเศรษฐกิจ อันเกิดจากการร่วมมือกับสหรัฐทำสงครามที่อิรักและอัฟกานิสถาน และปัญหาเศรษฐกิจในยูโรโซนคือ กรีซ ไอร์แลนด์ และสเปนได้ระบาดเข้าลอนดอนอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งผลกระทบต่อรัฐบาลและธุรกิจเอกชนอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอดีต จนหย่อนความสามารถในการฟื้นตัว ส่งผลกระทบถึงหน่วยงานรัฐบาลด้านสวัสดิการสังคม การศึกษา และการรักษาพยาบาล
สภาพของอังกกฤษในสมัยนั้น เปรียบเสมือนใบไม้ร่วง แม้กระทั่งกำลังความสามารถในการป้องกันประเทศก็ยังหาได้ไม่ จึงมีความจำเป็นต้องลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือ “ป้องกันประเทศ” กับฝรั่งเศส กรณีละม้ายกับลูกไก่ในกำมือของฝรั่งเศส ณ บัดนั้น
ฉะนั้น การเจรจาการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในครั้งนี้จึงยาก เพราะฝรั่งเศสคุมเกมอยู่
อย่างไรก็ตาม สัญญาข้อตกลงการแยกตัว (ฉบับชั่วคราว) ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปนั้น ไม่ว่ารัฐสภาของทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญยิ่ง
อนาคตของสหราชอาณาจักรเต็มไปด้วยเมฆหมอก
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช