ประเภทของตำนาน (5) : โดย ณัฐฬส วังวิญญู

ตำนานประเภทที่หนึ่ง คือการให้คุณค่ากับการมีชีวิตอยู่ หากแต่ว่าการมีชีวิตนี้พึ่งพาและขึ้นต่อความตายของชีวิตอื่นมีความตายคู่กันมา ความจริงที่ว่าเรามีชีวิตอยู่เพราะว่ามีบางอย่างตายเพื่อเราเป็นความจริงที่แปลก เป็นการมองเพื่อให้เกียรติ (Honor) กับบางอย่างที่เป็นความจริง

ตำนานประเภทที่สองคือการปฏิเสธและจากสังสารวัฏที่เวียนว่ายตายเกิดของชีวิตเป็นตำนานที่บอกว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นสิ่งธรรมดา ไม่เห็นว่าต้องเฉลิมฉลอง ไม่ต้องยึดติดอะไร ความอยาก ความโกรธ ความโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นตำนานที่ให้คุณค่ากับการปฏิเสธโลก

ตำนานประเภทที่สามอยู่ระหว่างสองประเภทนี้ คือทั้งปฏิเสธและยืนยันชื่นชมทั้งการเกิดและการตาย เห็นว่าทุกอย่างคือเพื่อน เป็นการให้กัน แล้วแต่ว่าสังคมมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจคือสังคมที่อยู่กับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อะไรตกบนดินก็งอกงาม สังคมนั้นจะให้คุณค่าและบูชาผู้หญิง เพราะผู้หญิงให้ลูกเปลี่ยนสเปิร์มเป็นคน ผู้หญิงจะเป็นใหญ่และเป็นคนเลือกผู้ชาย ผู้ชายเป็นแค่ผู้ให้กำเนิด เรื่องแบบนี้มีอยู่มากมายหลายแห่งในโลก เช่น เมโสโปเตเมีย ในที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน

พวกแรกให้แม่เป็นใหญ่ มีแผ่นดินเป็นผู้ให้ไม่ต้องฆ่า ส่วนพวกที่อยู่ในที่แร้นแค้น เช่น ในทะเลทรายที่ต้องเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ต้องฆ่าสัตว์ พวกที่สองต้องแข็งแรง ต้องย้ายที่ อยู่ในที่ทุรกันดาร สิ่งที่ให้ประโยชน์ไม่ใช่ดินแต่คือฟ้า ฝน เขาจะบูชาเทพแห่งผู้ชาย เรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวเร็ว ไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง ตอนหลังพวกที่สองก็มาทำลายพวกแรก

Advertisement

จริงๆ แล้ว วัฒนธรรมที่แม่เป็นใหญ่และมีการหล่อเลี้ยง การพึ่งพาอาศัย เป็นรากที่ยาวนานมาก ผมคิดว่าบ้านเรามีอยู่มาก แต่ตอนหลังมีวัฒนธรรมอย่างอื่นเข้ามา

พวกที่อยู่ทางเยอรมนีหรือสแกนดิเนเวียที่เป็นสายนักรบ บูชาเหล็ก ของแข็ง การเคลื่อนไหว เป็นวัฒนธรรมของการไปแคปเจอร์หรือครอบครอง ในคัมภีร์คริสต์ศาสนาตำนานคือพระเจ้าผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และสร้างสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นบริวาร แนวคิดจักรวรรดินิยมมาจากตำนานเหล่านี้ มาสู่ความเชื่อว่าเราไปครอบครองคนอื่นได้ เกิดเป็นอาณานิคม ผมไม่เห็นคนไทยอยากไปยึดครองใครเพราะเราไม่ได้ถูกสอนมาแบบนั้น

ผู้ชายและผู้หญิง

Advertisement

ตำนานอีกเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง มีการค้นพบผนังถ้ำที่บันทึกเรื่องราวในอดีต อย่างน้อย 5 พันปีขึ้นไป มีสังคมที่ให้คุณค่ากับวิถีของแม่ มีการสลักผนังถ้ำเป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันพวกที่เป็นสายนักล่าจะมีมีดกับเลือดเป็นสัญลักษณ์และมีสัตว์เลี้ยง ส่วนสายแม่จะเป็นรูปร่างของผู้หญิง ถ้าเป็นพวกงานปั้น รูปปั้นจะมีสะโพกใหญ่ มีเนื้อตัวใหญ่ ถือว่าเป็นเทพที่ให้ความอุดมสมบูรณ์ สัญลักษณ์ที่เป็นสามเหลี่ยมลงคืออวัยวะเพศของแม่ผู้ให้กำเนิด

เราจะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์กับตัวเราโดยอ่านสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ภายในเราทั้งหมด ตำนานเป็นข้อเสนอแนะให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ในตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆ ที่แคปเจอร์เรา และลองทำ Active Imagination ไปค้นหาดูว่าอยากลองทำอะไรและทำซ้ำๆ

อยากให้เขียนบันทึกและให้สังเกตความฝัน แล้วดูว่าเหตุการณ์ผู้คนที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งคนรัก เข้ามากับเราอย่างไร

ชีวิตคู่

ในมุมมองของแคมพ์เบลล์ ชีวิตสมรสคือเส้นทางแห่งจิตวิญญาณอีกเส้นหนึ่งที่สำคัญชีวิตคู่คือชีวิตที่มนุษย์จะประสบกับความทุกข์มหาศาล ใครที่มีคู่จะรู้ว่าทำไมคนดีๆ อย่างเราต้องมาทนอะไรขนาดนี้ เป็นบททดสอบทางจิตวิญญาณให้เราถูกแคปเจอร์เหมือนกัน ให้เราไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ให้ทุกข์ทนทรมาน จนเราค้นพบว่ามีบางอย่างที่ดีในตัว แต่ถ้าเรายังมองไม่เห็นสิ่งดีในตัวเขาว่ามีอยู่ในตัวเราด้วย หากเรายังไม่หลอมรวมตรงนั้น เราก็ยังไม่เติบโต

ผมดีใจมากที่ผมอ่านเจอเรื่องนี้ เพราะช่วยให้เห็นว่าอุปสรรคและความทุกข์ในชีวิตครอบครัวเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มันทำให้ผมมีกรอบในการมองชีวิตสนุกขึ้น ว่ามีความหมายที่ดี ที่ทำให้เราตีความหรือทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้น่าสนใจขึ้น ชีวิตสมรสทำให้เราได้ใช้ศักยภาพสองอย่างของหัวใจอย่างเต็มที่ คือ ศักยภาพที่จะรักและให้อภัยในทุกวัน ในทางคริสต์จึงเรียกว่าการได้ผ่านพิธีแต่งงานแล้วคำมั่นสัญญาที่มีให้กับพระเจ้าและให้กันและกันจะทำให้ชีวิตสมรสกลายเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งคู่ต่างต้องขัดเกลาตัวเอง ชำระล้างตัวเองผ่านการสารภาพและให้อภัยกันทุกวัน

อย่างปรากฏการณ์หมูป่าคือการเติบโตของเด็ก ผมคิดว่าไม่ใช่แค่เป็นพิธีกรรมกับเด็ก แต่เป็นพิธีกรรมให้ผู้ใหญ่อีกหลายๆ คน สังคมไทยอาจจะต้องการพิธีกรรมบางอย่างที่ช่วยยืนยันว่าการช่วยเหลือกันในสังคมยังมีอยู่ ท่ามกลางความสิ้นหวังในหลายๆ เรื่อง จะเกิดการตายหรือวิกฤตเพื่อให้เกิดบางอย่างได้อย่างมีความหมาย

สุดท้ายจริงๆ เรากำลังแสวงหาบางอย่างที่เรียกว่าพลังงานชีวิต (Libido) ความตื่น อิสรภาพ เซ็กซ์อาจจะให้พลังงานชีวิตแก่เราในช่วงอายุ 30 ปลายๆ หลังจากที่ทำงานตามเจ้านาย โดยเฉพาะนายในตัวเรา เมื่อมันเริ่มเหี่ยวแห้ง เราจะแสวงหาพลังงานชีวิตอื่น

เราจะเห็นพลังงานชีวิตตอนเป็นเด็ก เมื่อผู้ชายอายุมากขึ้นจะมองเด็กสาว จริงๆ แล้วเขาแสวงหาการเกิดใหม่ การกลับมาเยาว์วัย การมีชีวิตที่มีประกายตา ลิบิโดจะมีช่วงที่เปิดออก ควบคุมตัวเองไม่ได้ จะไปที่มืดๆ เพื่อการระเบิดออกของเราที่แสวงหาการเกิดใหม่ ผมว่าเราแสวงหาบางอย่างที่มีความเต็มเปี่ยม แคมพ์เบลล์เชื่อว่าชีวิตไม่ได้แสวงหาความหมาย แต่แสวงหาประสบการณ์ตรงของความเต็มเปี่ยม ซึ่งแคมพ์เบลล์มองว่าคือตำนานที่มีชีวิต (Living Myth) ของมนุษย์ทุกคน

ณัฐฬส วังวิญญู
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image