คุณโผงให้คุณจำนูญเช่าอาคารมีกำหนด 3 ปี ในสัญญาระบุว่า เมื่อครบกำหนดแล้วคุณโผงจะให้เช่าต่ออีก 3 ปี
ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้ว คุณโผงบอกให้คุณจำนูญขนย้ายทรัพย์สินออกไป แต่คุณจำนูญเพิกเฉย
คุณโผงจึงมาฟ้องศาล ขอให้ขับไล่คุณจำนูญและบริวารออกไปจากอาคาร และห้ามเกี่ยวข้องอีก
คุณจำนูญให้การว่า คุณจำนูญทำสัญญาเช่ากับคุณโผงมีกำหนด 3 ปี มีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดแล้วคุณโผงจะให้เช่าต่ออีก 3 ปี อันเป็นคำมั่นจะให้เช่า คุณจำนูญได้แสดงความประสงค์ขอเช่าต่อแล้ว คุณโผงจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้คุณจำนูญและบริวารออกจากอาคาร
คุณจำนูญอุทธรณ์ ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษายืน
คุณจำนูญฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คุณจำนูญฎีกาว่าข้อความในสัญญาเช่า ข้อ 12 เป็นคำมั่นที่คุณโผงจะต้องต่อสัญญาให้คุณจำนูญอีกคราวหนึ่ง อันเป็นการแปลข้อความในสัญญาซึ่งเป็นข้อกฎหมายนั้น
เห็นว่า คุณโผงและคุณจำนูญได้ทำสัญญาข้อตกลงระหว่างกัน โดยคุณโผงอยู่ในฐานะผู้ให้เช่าสถานที่ ส่วนคุณจำนูญอยู่ในฐานะผู้เช่าสถานที่
สัญญาข้อ 12 ว่า “ถ้าผู้รับมอบมิได้ประพฤติผิดสัญญา ผู้มอบจะได้พิจารณาต่ออายุสัญญาให้อีกคราวหนึ่ง”
ข้อความนี้ เป็นการแสดงความประสงค์ของคู่สัญญาว่า เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ผู้ให้เช่าจะใช้ดุลพินิจต่อสัญญาให้แก่ผู้เช่าอีกคราวหนึ่งในเมื่อผู้เช่าไม่ได้กระทำผิดสัญญา
จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากในระหว่างสัญญามีการกระทำที่ถือว่าผู้เช่าได้ผิดสัญญา เช่น ไม่ชำระค่าเช่าหรือที่ในสัญญาเรียกว่าค่าจ่ายดอกผลตามจำนวนเงินและภายในเวลาที่กำหนดหรือไม่รักษาความสะอาดก็ดี กระทำการกีดขวางทางเดิน ผู้โดยสารที่ขึ้นลงในท่าเรือก็ดี ดังที่รายละเอียดของสัญญาระบุไว้ กรณีนี้ผู้ให้เช่าจะไม่พิจารณาต่อสัญญาให้เลย
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าผู้เช่าจะไม่กระทำผิดสัญญาก็ตาม การจะต่ออายุสัญญาให้อีกหรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของผู้ให้เช่าที่จะต่อสัญญาให้หรือไม่ก็ได้ สุดแล้วแต่ใจของผู้ให้เช่า
การที่สัญญาข้อ 12 ดังกล่าวระบุว่าจะได้พิจารณาต่ออายุสัญญาให้ จึงเป็นการให้โอกาสแก่ผู้เช่าในเบื้องแรก ภายหลังที่สัญญาเดิมสิ้นสุดลง ในกรณีที่มีการขอเช่าใหม่ ทั้งเป็นการจูงใจผู้เช่ามิให้ผิดสัญญาในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับ
สัญญาข้อนี้จึงมิใช่คำมั่นจะให้เช่า ที่ศาลชั้นอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่า ไม่มีลักษณะเป็นคำมั่นจะให้เช่านั้นชอบแล้ว
ดังนั้น เมื่อสัญญาข้อตกลงสิ้นอายุลงแล้ว คุณจำนูญย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในสถานที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน
(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2535)
——————————————–
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 368 สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปรกติประเพณีด้วย
มาตรา 537 อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
โอภาส เพ็งเจริญ [email protected]