ไม่เป็นธรรมชาติ โดย วีรพงษ์ รามางกูร

สื่อต่างประเทศ เมื่อกล่าวถึงเมืองไทยดูจะไม่ค่อยให้ความสำคัญไปเสียแล้ว แต่จะมองประเทศไทยเป็นประเทศที่ผู้ปกครองประเทศก็ดี คณะรัฐบาลก็ดี หรือแม้แต่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญก็ดี เมื่อออกมาให้ความเห็นหรือมีการพูดจากับประชาชนก็ดี มักจะมีความฉุนเฉียว ข่มขู่ ก้าวร้าว กับทั้งผู้แทนสื่อมวลชนและประชาชน

ที่น่าสังเกตก็คือทัศนคติและการปฏิบัติตนของสื่อมวลชนยุคนี้ ไม่เหมือนกับสื่อมวลชนยุคก่อน ที่วางตัวในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชน ในยามที่ประเทศชาติไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีผู้แทนราษฎรที่จะเป็นปากเสียงให้กับประชาชน ข้าราชการไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือข้าราชการการเมือง หรือรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นจอมพลหรือ พล.อ. ต่างก็ให้เกียรติสื่อมวลชนเสมอ เพราะมีสื่อมวลชนเจ้าของคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” หรือ “ข้างสังเวียน” อย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่พูดว่า “กูไม่กลัวมึง” เป็นหลักให้บรรดาสื่อมวลชนคอยดูเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้นก็ยังมีคอลัมนิสต์อีกหลายคนที่มีจิตวิญญาณ เป็นสื่อมวลชนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้มีอำนาจที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย

แต่มายุคสมัยนี้ ดูเหมือนนักข่าวรุ่นเด็กหลายคนได้ละทิ้งศักดิ์ศรีและอุดมการณ์ของตน เพื่อแลกกับการได้ข่าว เพื่อแลกกับการได้อยู่ใกล้ชิด สามารถพูดจาหยอกล้อกับผู้มีอำนาจ สามารถมีภาพถ่ายคู่กับผู้มีอำนาจ ดูแคลนศักดิ์ศรีของตนเอง ลืมไปว่าตนเป็นสื่อมวลชน ทำหน้าที่แทนผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนของสาธารณชน ในยามที่นักการเมืองและประชาชนไม่มีปากมีเสียง ไม่สามารถตรวจสอบผู้ปกครองของตนได้

ประเด็นที่เป็นข่าวในเว็บก็ดี โซเชียลมีเดียก็ดี ปรากฏในหนังสือพิมพ์ก็ดี หรือวิทยุโทรทัศน์ก็ดี แทนที่จะเป็นข่าวพัฒนาบ้านเมือง ข่าวเรื่องการลงทุน ข่าวความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของประเทศ กลับกลายเป็นข่าว เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาไล่จับนักศึกษา ตอบโต้ประชาชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าหากมีลักษณะที่จะเป็นการสร้างกระแสไม่ให้ลงคะแนน “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระและขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์

Advertisement

เพราะมนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมหรือ “social animal” แล้ว มนุษย์ยังเป็น “สัตว์การเมือง” หรือ “political animal” ด้วย ไม่เหมือนสัตว์สังคมอื่นๆ เช่น มด ผึ้ง วัว ควาย ลิง ที่อยู่กันเป็นฝูง

เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง การจำกัดพฤติกรรมทางการเมืองด้วยการใช้อำนาจ “force” สร้างความกลัว มนุษย์ก็ย่อมจะหาทางขัดขวาง เพื่อให้ตนสามารถทำต่อไปตามธรรมชาติ ตามที่ตนเคยมีประสบการณ์มา เมื่อมีการบังคับให้ผิดธรรมชาติก็ย่อมจะมีเรื่องแปลกๆ ขำขัน เช่น การจับคนมีขันแดงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การชุมนุมกันโดยการออกมายืนหรือการล้อเลียนผู้นำ ซึ่งเป็นของปกติในสถานการณ์ที่ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก

เมื่อคิดว่าการชุมนุมอย่างสงบและเปิดเผย ซึ่งครั้งหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดา มาบัดนี้เป็นเรื่องผิดปกติ ห้ามมิให้กระทำ ก็จะมีผู้คนบางคนหรือหลายคนนึกหมั่นไส้และอยากลองของ อยากจะทำ เพื่อให้เป็นข่าว เป็นพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับผู้มีอำนาจ ถ้าจะอยู่เฉยๆ การกระทำก็อาจจะมีมากขึ้นและเป็นการลดความศักดิ์สิทธิ์ ความน่ากลัวของผู้มีอำนาจ เพราะความ “น่ากลัว” เป็นสาระสำคัญของการปกครองระบอบนี้ ไม่ใช่ความมีเหตุผล ถ้าความกลัวถูกทำลาย ความมั่นคงของผู้มีอำนาจก็จะถูกทำลายไปด้วย การออกข้อห้าม การจับกุมผู้ฝ่าฝืน การข่มขู่ จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้ การให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับความมั่นคงของระบอบการปกครองนี้ ความพยายามที่จะให้คนคิดว่า ความมั่นคงของผู้ปกครองคือความมั่นคงของรัฐบาล หรือของชาติ จึงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นภารกิจที่สำคัญของ “เนติบริกร” เพราะระบอบนี้เป็นระบอบที่จะต้องออกกฎหมายมาใช้บังคับเป็นจำนวนมากอยู่เสมอ เพราะต้องบังคับอะไรหลายอย่างที่ขัดต่อธรรมชาติ ต้องคอยออกมาให้ “คำอธิบาย” กับการบังคับอยู่เสมอ คำอธิบายนั้น ถ้าคิดให้ดีจะเป็นคำอธิบายที่ไร้สาระเป็นส่วนใหญ่ เพราะได้กำหนดจุดหมายปลายทางไว้แล้วค่อยหาคำอธิบายออกมาบรรยายในภายหลัง คำอธิบายจึงไม่สอดคล้องกับหลักธรรมชาติของการปกครอง

Advertisement

ความที่สังคมไทยหรือผู้มีอำนาจในการปกครองของไทย ไม่เคยมีความคิดที่จะสร้างระบบการปกครอง แต่อาศัยบุคคลหรือสิ่งที่เราเรียกว่า บุคลาธิษฐาน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำคณะราษฎร ผู้นำที่เป็นทหาร ผู้นำที่มาโดยวิถีทางประชาธิปไตย ก็ใช้ภาพลักษณ์ของตนในลักษณะบุคลาธิษฐานทั้งสิ้น มาจนบัดนี้ เมื่อระบบเป็นเช่นนั้น การสื่อสาร การสร้างอุดมการณ์ การสร้างทัศนคติที่ให้ยึดระบบจึงไม่เกิด เราจึงติดยึดอยู่กับบุคคล ซึ่งไม่มีทางที่จะดำรงอยู่ไปตลอดกาลได้ ความขัดแย้งเกี่ยวกับตัวบุคคลจึงเกิดขึ้นเสมอ การโต้เถียงกันก็อยู่รอบๆ ตัวบุคคล ไม่ใช่หลักการอุดมการณ์และระบบ วนเวียนอยู่อย่างไม่มีแก่นสารและไม่อาจจะออกจากกับดักอันนี้ได้

ความเป็นธรรมชาติของสังคมก็ดี ของการเมืองก็ดี ของเศรษฐกิจ ของสิทธิเสรีภาพก็ดี การยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ดี ย่อมจะพัฒนาไปข้างหน้าอยู่เสมอ เสมือนมีมือที่มองไม่เห็น “invisible hand” คอยผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าเสมอ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีบางส่วนของสังคมคอยดึงไว้ ไม่ให้การพัฒนาก้าวไปข้างหน้า แต่แรงที่จะผลักดันให้ “กงล้อประวัติศาสตร์” หมุนไปข้างหน้ามีมากกว่าเสมอ เหมือนกับแรงผลักดันของ “กลไกตลาด” ในระบบเศรษฐกิจเสรี

การฝืนกฎดังกล่าวจึงไม่เป็นธรรมชาติและจะถูกมองว่าเป็นตัวตลกขบขัน เชย วาทกรรมต่างๆ ที่พยายามออกมาสนับสนุนก็จะเป็นวาทกรรมที่ถูกผู้คนเหยียดหยาม จะถูกโต้เถียงกลับไปทันทีเมื่อเปิดให้มีเสรีภาพในการแสดงออก

การปิดกั้นการแสดงออกในยุคก่อนอาจจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสังคมได้ก้าวย่างออกมาจากสังคมปิดภายหลังการทำรัฐประหารในปี 2502 ก่อนการทำรัฐประหารของนายพลเนวินในพม่า 3 ปี แต่เมื่อการเมืองได้พัฒนามาไกลจากปี 2502 มาถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 กลับไปเป็นยุคเผด็จการปี 2519 และคลี่คลายมาเป็นยุคประชาธิปไตยครึ่งใบในปี 2522 จนมาถึงปี 2535 และกลับไปใหม่ แต่การกลับไปใหม่จะกลับไปยาวถึงปี 2522 หรือปี 2535 น่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะความไม่เป็นธรรมชาติของการเมืองน่าจะเป็นไปได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น ยากจะให้อยู่ยืดยาวไป 3-5 ปี จนกลายเป็นธรรมชาติอันใหม่น่าจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งผู้คนเห็นว่าแนวโน้มจะไม่เป็นการพัฒนาไปข้างหน้าแต่เป็นการถอยหลัง การพยายามหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ ให้หมุนไปข้างหลังจะยิ่งเป็นไปได้ยาก ยิ่งผลักดันให้อยู่ในสภาพผิดธรรมชาติมากเท่าไหร่ แรงต่อต้านจากสังคมภายในและจากสังคมโลกก็จะยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น

สังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จะมีแรงอันหนึ่งที่จะทำให้ระบบสังคมก็ดี ระบบเศรษฐกิจก็ดี ระบบการเมืองก็ดี มีแนวโน้มที่จะพัฒนาเข้าหาระบบที่ถือว่ามีความเป็น “อารยะ” มากกว่า เป็นสังคมที่มี “ประสิทธิภาพ” มากกว่า เป็นสังคมที่มี “คุณค่า” ในการเคารพสิทธิมนุษยชนมากกว่า “คุณค่า” หรือ “value” เหล่านี้ถูกกำหนดโดยสังคมตะวันตก ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เพราะตะวันตกเป็นผู้ถือทรัพยากรทางการเงินธนาคารทางเทคโนโลยีที่เหนือกว่าพวกเราชาวตะวันออก ตะวันตกจึงเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เกือบทั้งหมดของโลก ผู้ฝ่าฝืนก็รังแต่จะเสียประโยชน์ โลกาภิวัตน์ได้ทำให้เห็นแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสากลในทุกด้าน

ตราบใดที่เราต้องเสพแต่สิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ เราก็ต้องเข้าใจว่าเรายังไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นธรรมชาติ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image