ในจำนวนห้าสิบเขตของกรุงเทพมหานครนั้น เขตที่อยู่ใจกลางและสำคัญที่สุดคือเขต พระนคร ด้วยเป็นจุดเริ่มต้นของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ และทรงปราบปรามการจราจลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระองค์มีพระราชดำริว่า เมืองธนบุรีนี้ ฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิดีกว่าฝั่งฟากตะวันตก ด้วยเป็นที่แหลม มีลำน้ำเป็นขอบเขต แม้นข้าศึกยกมาชิดถึงชานพระนครก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่า เสียแต่ว่าเป็นที่ลุ่ม ในขณะที่ฝั่งตะวันตกแม้นจะเป็นที่ดอน แต่ก็เป็นท้องคุ้งน้ำ ตลิ่งทรุดพังอยู่เสมอ อีกทั้งพระราชมณเฑียรสถานตั้งอยู่ในที่อุปจาร มีวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้งสองข้าง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในบริเวณที่พระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน โดยโปรดเกล้าฯให้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ตั้งแต่วัดคลองสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง และมีพระราชพิธียกเสาหลักเมืองในวันอาทิตย์ เดือนหก ขึ้นสิบค่ำ ฤกษ์เวลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325
นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนับเวลาได้ถึง 236 ปี พระนครยังคงเป็นราชธานีของสยามประเทศ นอกจากพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามแล้ว ยังมีพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) และวังต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่โดยรอบ อาทิ วังสราญรมย์ วังท่าพระ วังถนนหน้าพระลาน วังถนนหลักเมือง วังถนนสนามชัย วังถนนพระอาทิตย์ วังจักรพงษ์ วังท่าเตียน ฯลฯ ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาลพระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์พำนักต่อเนื่องเรื่อยมา
จนเมื่อมีการเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นกระทรวง ทบวง กรม มีการก่อสร้างอาคารที่ทำการมากมาย อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กรมแผนที่ทหาร โรงกษาปณ์สิทธิการ (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เจ้าฟ้า) กระทรวงยุติธรรมและศาลฎีกา เป็นต้น หรือการใช้อาคารเดิม อาทิ วังสราญรมย์ เป็นที่รับรองของพระราชอาคันตุกะ ต่อมาเป็นที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศ
บริเวณสามเหลี่ยมชายธง ซึ่งเกิดจากแนวถนนสองสายวิ่งมาบรรจบกันคือ ถนนสนามไชยและถนนมหาราช เคยเป็นที่ตั้งของวังสี่วัง ได้แก่ วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ และวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี พระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช
และวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ต่อมากลายเป็นที่ตั้งของกระทรวงพาณิชย์
ปัจจุบันคือมิวเซียมสยาม
พื้นที่เขตพระนครจึงเป็นที่ตั้งอาคารสำคัญของประเทศ เป็นอาคารประวัติศาสตร์ของชาติ เป็นประจักษ์พยานพัฒนาการของบ้านเมืองทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมทั้งสถาปัตยกรรมและเมือง อาคารดังกล่าวยังได้รับการทำนุบำรุงรักษาให้สวยงาม เป็นที่เชิดหน้าชูตา เป็นมรดกทางวัฒนธรรมทรงคุณค่าและเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ล้ำค่า
นามเขตพระนครนั้น เริ่มเรียกขานเมื่อใดยังไม่สามารถระบุแน่ชัด ที่พบระบุว่า ในปี พ.ศ.2441 มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 15 แผ่น 8 วันที่ 22 พฤษภาคม ร.ศ.117 เรื่อง ประกาศจัดการสะอาดในจังหวัดพระนคร ที่กำหนดเขตสุขาภิบาลรักษาความสะอาดท้องที่ มีข้อความดังนี้
“แนวฝั่งตวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปากคลองบางลำภูลงไปเพียงปากคลองตพานหัน เลี้ยวเข้าคลองไปตามแนวคลอง ฝั่งข้างกำแพงพระนครตลอดไป จนออกปากคลองบางลำภู บันจบแนวฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาโดยรอบ ในจังหวัดนี้ ให้เรียกว่า จังหวัดพระนคร …”
เมื่อมีการจัดแบ่งพื้นที่การปกครองเป็นมณฑลนั้น กำหนดให้จังหวัดพระนครอยู่ในมณฑลกรุงเทพฯ และเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกระทรวงนครบาล ในขณะที่มณฑลอื่นอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
ในปี พ.ศ.2458 เมื่อมีประกาศยกเลิกอำเภอชั้นในเดิม และตั้งอำเภอชั้นในใหม่ จำนวน 25 อำเภอ ของจังหวัดพระนคร ซึ่งในช่วงที่ยังตั้งที่ว่าการอำเภอไม่ครบนั้น ให้ราษฎรจากอำเภอใกล้เคียงไปติดต่อราชการ ณ อำเภอที่ตั้งไว้แล้ว เช่น ผู้ที่อยู่ในท้องที่อำเภอพระราชวัง อำเภอชนะสงคราม อำเภอพาหุรัด ให้ไปติดต่อราชการที่อำเภอสำราญราษฎร์ ซึ่งตั้งอยู่ในกระทรวงนครบาล
จนเมื่อมีการกำหนดที่ว่าการใหม่ ได้แก่ …ที่ว่าการอำเภอชนะสงคราม มีที่ว่าการอยู่ที่เชิงสะพานรามบุตรี ถนนจักรพงษ์ อำเภอพระราชวัง อยู่ที่ตึกแถวถนนท้ายวัง และอำเภอพาหุรัด อยู่ที่ตึกแถวถนนตรีเพ็ชร์ ตรงสถานีตำรวจพระนครบาล…
ต่อมาในสมัยต้นรัชกาลที่ 7 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก เป็นผลให้ต้องปรับลดงบประมาณรายจ่าย จึงยุบบางอำเภอ หรือลดขนาดเป็นกิ่งอำเภอ ดังประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 42 เรื่องยุบเลิกอำเภอและลดลงเป็นกิ่งในจังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2468 (นับอย่างปัจจุบันคือ พ.ศ.2469) มีความดังนี้
…เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯให้ประกาศทราบทั่วกันว่า อำเภอในจังหวัดพระนครบางแห่งมีอาณาเขตร์ใกล้ชิดติดต่อกันสมควรจะยุบถอนเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อเปนการประหยัดตัดรอนรายจ่ายเงินแผ่นดินคราวนี้…
มีผลให้อำเภอพระราชวังเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นอยู่กับอำเภอพาหุรัด และอำเภอชนะสงคราม เป็นกิ่งอำเภอขึ้นอยู่กับอำเภอสำราญราษฎร์
ต่อมา มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 45 วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2471 ให้รวมการปกครองอำเภอพาหุรัด อำเภอสำราญราษฎร์ กิ่งอำเภอพระราชวัง กิ่งอำเภอชนะสงคราม เป็นอำเภอหนึ่ง เรียกว่า อำเภอพระนคร ที่ทำการอยู่ที่กิ่งอำเภอชนะสงคราม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2472 และภายหลังได้รวมอำเภอสามยอด และอำเภอบางขุนพรหมเข้ามาด้วย
หลังจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 24 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 ให้รวมจังหวัดธนบุรี และจังหวัดพระนคร เป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 คณะปฏิวัติมีประกาศให้เรียกนครหลวงของประเทศไทยว่า กรุงเทพมหานคร และกำหนดให้เปลี่ยนชื่อเรียกพื้นที่แบ่งส่วนภายในว่าเขต อำเภอพระนคร จึงเปลี่ยนเป็น เขตพระนครเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยมีความเป็นมาดังที่กล่าวมา ทำให้เขตพระนครในปัจจุบันประกอบด้วยแขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงสำราญราษฎร์ ชนะสงคราม และบางขุนพรหม ที่เคยเป็นอำเภอมาก่อน และแขวงวังบูรพาภิรมย์ วัดราชบพิธ ศาลเจ้าพ่อเสือ เสาชิงช้า บวรนิเวศ ตลาดยอด บ้านพานถม และวัดสามพระยา ที่แบ่งแยกขึ้นมาใหม่ รวมทั้งหมด 12 แขวง
เขตพระนครมีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือติดต่อกับเขตดุสิต โดยมีคลองผดุงกรุงเกษมเป็นขอบเขต ทิศตะวันออกติดกับเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและเขตสัมพันธวงศ์ มีถนนราชดำเนินนอกและคลองรอบกรุงเป็นขอบเขต ทิศใต้ติดกับเขตคลองสานและเขตธนบุรี โดยมีกึ่งกลางของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นขอบเขต และทิศตะวันตกติดกับเขตบางกอกใหญ่ เขตบางกอกน้อยและเขตบางพลัด มีแนวกึ่งกลางของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่งเขต
ด้วยความสำคัญของอาคารและสถานที่ที่ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ในปี พ.ศ.2524 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์เมืองเก่า โดยขนานนามว่า เกาะรัตนโกสินทร์ ตามสภาพพื้นที่เสมือนว่าเป็นเกาะ ด้วยมีแม่น้ำและคูคลองล้อมรอบ
เริ่มจาก คลองคูเมืองเดิมหรือคลองหลอด ที่ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคลองเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา จากทางด้านเหนือที่ท่าช้างวังหน้า มาจนถึงด้านใต้ที่ปากคลองตลาด ทั้งนี้เพื่อนำดินจากการขุดขึ้นถมเป็นเชิงเทิน ตั้งค่ายปักด้วยไม้ทองหลางทั้งต้นตลอดแนวคลอง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้ขุดคูเมืองใหม่รอบนอกเพื่อขยายราชธานี คลองคูเมืองเดิมจึงกลายเป็นเส้นทางคมนาคมภายในเมืองของราษฎร ทำให้มีการเรียกขานตามสถานที่ที่คลองไหลผ่าน อาทิ คลองโรงไหม คลองตลาด หรือปากคลองตลาด เป็นต้น รวมทั้งมีการขุดแต่งคลองช่วงกลางให้เป็นเส้นตรง ผู้คนจึงเรียกคลองช่วงนี้ว่าคลองหลอด ในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี รัฐบาลจึงมีมติให้เรียกชื่อคลองนี้ว่า คลองคูเมือง
คลองคูเมืองใหม่หรือคลองรอบกรุง เป็นคลองที่ขุดขึ้นภายหลัง เมื่อย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาฝั่งพระนคร โดยขุดขนานไปกับแนวคูเมืองเดิม เริ่มจากด้านเหนือที่บางลำพูมาจนถึงด้านใต้ที่เหนือวัดสามปลื้ม แม้ว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้พระราชทานนามว่า คลองรอบกรุง แต่ราษฎรมักเรียกชื่อคลองตามสถานที่ที่คลองไหลผ่าน อาทิ คลองบางลำพู คลองสะพานหัน คลองวัดเชิงเลน เป็นต้น หรือเรียกคลองโอ่งอ่าง ตามย่านการค้า เครื่องดินเผาของชาวมอญและจีน ต่อมาในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี รัฐบาลจึงมีมติให้เรียกชื่อคลองนี้ว่า คลองคูเมืองใหม่
เพื่อธำรงความสำคัญในฐานะประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์และความสวยงามของพระบรมมหาราชวัง ศาสนสถาน พระราชฐาน และอาคารประวัติศาสตร์อื่น ในปี พ.ศ.2527 กระทรวงมหาดไทยมีประกาศกระทรวงไม่อนุญาตให้ก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารใดๆ ยกเว้นอาคารทางศาสนา อาคารที่ทำการของราชการ และควบคุมความสูงอาคารไม่ให้เกินความสูงของอาคารเดิม และไม่เกิน 16 เมตร ในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน ที่อยู่ภายในแนวคลองคูเมืองเดิม และในปี พ.ศ.2529 มีการออกข้อบัญญัติเพิ่มเติม ห้ามก่อสร้างอาคารสูง 20 เมตร ในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นนอก สำหรับพื้นที่ถัดออกจากคลองคูเมืองเดิมจนถึงคลองโอ่งอ่างหรือคลองบางลำพู
เขตพระนครจึงเปรียบได้ดั่งอัญมณีล้ำค่าที่ประดับอยู่บนยอดของเรือนแหวนแห่งกรุงเทพมหานคร ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
บัณฑิต จุลาสัย
รัชดา โชติพานิช
หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์ฯ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย