ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
อยุธยา, สุโขทัย และ ฯลฯ เมืองประวัติศาสตร์ ไม่ว่าที่ไหนๆ ของไทย ล้วนมีปัญหาการบริหารจัดการแบ่งปันวิชาความรู้สู่สาธารณะ และการท่องเที่ยว
มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือใกล้เคียงเมืองประวัติศาสตร์ ควรมีส่วนสำคัญทำกิจกรรมเหล่านั้น แต่เกือบทุกแห่งไม่ทำ
ที่ทำคือผักชีโรยหน้า แต่เรียกให้หรูๆ ว่า สัมมนา, เสวนา, อบรม ฯลฯ ไม่ต่างจากวิธีทำงานของข้าราชการประจำที่อาจารย์มหาวิทยาลัยพากันวิพากษ์วิจารณ์สาดเสียเทเสียมาก่อน แต่ถึงคราวตัวเองบ้างก็ทำอย่างเดียวกัน เข้าตำรา “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”
สังคมไทยเลยเสียโอกาสทั้งในแง่คุณค่าของวิชาความรู้ และมูลค่าจากการท่องเที่ยว
ผู้บริหารและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องเมืองประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นต่างๆ ควรร่วมกันพิจารณาแก้ไขเรื่องสำคัญมากก่อน 2 เรื่อง ดังนี้
1. พัฒนาคำอธิบายประวัติศาสตร์สังคม เพื่อบอกความเป็นมาของวิถีชีวิต และสถานที่สำคัญของคนทุกระดับอย่างง่าย, สั้น, โดน ฯลฯ โดยไม่ฟูมฟายด้วยโวหารวิชาการรุ่มร่ามด้วย “คำหลวง” เช่น บ้าน, เรือน, ตลาด, ย่านการผลิตสิ่งของต่างๆ, ข้าวปลาอาหาร, การละเล่น, เครื่องแต่งตัว, ซ่องและโสเภณี ฯลฯ ในประวัติศาสตร์ที่นั้นๆ เป็นยังไง?
ขณะเดียวกันต้องลดคำอธิบายกระแสหลักที่นักท่องเที่ยว และสามัญชนชาวบ้านทั่วไปฟังไม่เข้าหู ไม่รู้เรื่อง ได้แก่ ประวัติศาสตร์สงครามของวีรบุรุษ กับประวัติศาสตร์ศิลปะของคนชั้นสูงที่เน้นวัดกับวัง คำอธิบายกระแสหลักเหล่านี้ยิ่งพูดมาก คนฟังยิ่งไม่อยากไปซ้ำอีก เพราะเบื่อ รำคาญ
คำอธิบายประวัติศาสตร์สังคมจะเป็นต้นทางความรู้ใช้ต่อยอดให้เกิดพลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้มัคคุเทศก์
เศรษฐกิจสร้างสรรค์คือเศรษฐกิจใหม่ของโลกที่ทำรายได้มากกว่าลงทุนสร้างโรงงานผลิตสินค้าส่งออก ซึ่งไม่เกิดขึ้นลอยๆ โดยเสี่ยงโชค แต่เกิดจากการสั่งสมทางประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรม (ที่สถาบันการศึกษามักปลูกผักชีโรยหน้านี่แหละ)
2. สร้างสรรค์กิจกรรมแบ่งปันความรู้ โดยอิงอยู่กับคำอธิบายประวัติศาสตร์สังคมผ่านการท่องเที่ยว
มีกรณีตัวอย่าง บ้านเกิด ร.1 ใกล้ป้อมเพชรในเกาะเมืองอยุธยา ด้านทิศใต้ เป็นย่านการค้าใหญ่สุดและสำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา
ราชการบูรณปฏิสังขรณ์วัดประจำตระกูล ร.1 อย่างดีวิเศษ ปัจจุบันคือ วัดสุวรรณดาราราม แต่ทิ้งย่านบ้านเกิด ร.1 ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีป้ายบอก ทั้งๆ เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญมาก จึงเป็นเหตุเสียหายอย่างน้อย 2 เรื่อง ได้แก่
(1) เสียหายคุณค่าจากความรู้ประวัติศาสตร์สังคมยุคอยุธยา
(2) เสียหายมูลค่าจากรายได้การท่องเที่ยวท้องถิ่น
ถ้าสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นมุ่งแต่เม้าธ์ เอาผักชีโรยหน้าตามโครงสร้างเดิม ในนามสัมมนา, เสวนา, อบรมมัคคุเทศก์ ฯลฯ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมก็ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้า