กาลครั้งหนึ่ง…นานมาแล้ว แฝดสยาม (22) แฝดวิงวอนแพทย์เยอรมันผ่าแยกร่างก่อนตาย – ทัวร์สุดท้ายของชีวิต

ช่วงต้นรัชสมัย ในหลวง ร.3 มีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ มาลงทุนตั้งบริษัทในบางกอก ชาวตะวันตกเริ่มทยอยขอทำสัญญาการค้ากับสยามคึกคัก เดินกันเพ่นพ่าน ชาวสยามจะเรียกคนผิวขาวเหล่านี้ว่า ฝรั่ง แต่มีแขกเปอร์เซีย และจีน เป็นคู่ค้าหลักของสยาม

เรือกลไฟพ่นควันดำยาวเป็นสายบนท้องฟ้า เรือสินค้าคือองค์ประกอบหลักในอ่าวไทยและแม่น้ำเจ้าพระยา บางกอกเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขานว่ามีสินค้าทุกอย่างที่ตลาดยุโรปต้องการ สินค้าเกษตร ข้าว ปลา อาหาร และหนังสัตว์

ขอเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพว่า ในรัชสมัยในหลวง ร.3 ต่อเนื่องไปถึงรัชสมัยในหลวง ร.4 นั้น มีชายฝาแฝดตัวติดกัน (Conjoined Twins) จากเมืองแม่กลองที่เป็นตัวแทนชาวสยามออกไปทำมาหากิน แสดงตัวหาเงินต่อผู้คนในอเมริกา และยุโรปจนได้ฉายาว่า Siamese Twins เป็นตำนานที่เลื่องลือระดับโลกนะครับ

ตำนานของแฝดสยามที่ฝรั่งบันทึกไว้อย่างละเอียด เป็นการบ่งบอกต่อชาวไทยทั้งหลายว่า อิน-จัน คือชาวสยามที่กล้าเดินออกไปนอกประเทศอย่างสง่างาม มีโอกาสได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐถึง 2 ท่าน คือ อับราฮัม ลินคอล์น และแอนดรูว์ จอห์นสัน

Advertisement

อิน-จัน เคยได้เข้าเฝ้าควีนวิกตอเรียของอังกฤษ ไกเซอร์ของเยอรมัน พระเจ้าซาร์ของรัสเซียและบุคคลสำคัญในยุโรปอีกหลายท่าน

แหม่มแอนนา เลียวโนเวนส์ หมอบรัดเลย์ หมอสมิธ สาธุคุณแมคฟาร์แลนด์ และฝรั่งอีกหลายท่านได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมสยามในบางกอกอย่างน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก

สยามไม่เคยสิ้นคนดี คนกล้า มีฝรั่งมาได้ ก็มีคนสยามไปได้

Advertisement

กลับไปที่ตำนานชีวิตวัย 60 ปีของแฝดอิน-จัน ในอเมริกาครับ

แฝดอิน-จัน จากเมืองแม่กลองไปใช้ชีวิตในอเมริกาเกือบ 40 ปีมีครอบครัวใหญ่ เผชิญกับเหตุการณ์ชั่ว ดี ถี่ ห่าง มีได้ มีเสียมาตลอดชีวิต ในช่วงหลังสงครามกลางเมืองในอเมริกา ทำเอาครอบครัวทรุดฮวบเรื่องเงินทองไม่พอใช้จ่ายสำหรับลูกดกเดินเต็มบ้าน

ในช่วงที่อายุราว 60 เศษ แฝดยังมีความกล้า ความขยันที่จะพาลูกออกไปตระเวนแสดงตัวหาเงินในยุโรป และถือโอกาสไปพบแพทย์ในประเทศนั้น เพื่อขอคำปรึกษาที่จะผ่าแยกร่างออกจากกันก่อนตายให้จงได้ แพทย์ทุกประเทศที่ไปพบมา ลงความเห็นสอดคล้องกันว่า ไม่สมควรผ่าแยกร่าง เพราะอวัยวะภายในไม่เอื้ออำนวย แม้กระทั่งคณะแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ที่วิทยาลัยแพทย์เอดินเบอร์ก ในอังกฤษก็ปฏิเสธที่จะลงมือผ่าแยกร่างให้

5 เดือนต่อมา นายวอลเลซ (Wallace) เพื่อนใหม่เพิ่งพบหน้ากันที่ลอนดอน ขอเป็นโต้โผ จัดโปรแกรมพาลุงอิน-จัน ไปเปิดการแสดงตัวหาเงินในเยอรมัน และอีกหลายประเทศในยุโรป การเดินทางรอบนี้ ลุงแฝดขอพาลูกชายไปทัวร์ด้วย 2 คน คือ เจมส์ อายุ 21 ปีลูกของแฝดอิน และอัลเบิร์ต อายุ 12 ปี ลูกของแฝดจัน

1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2413 คณะของลุงแฝดสยามจำนวน 5 คนลงเรือชื่อ Allemagne จากท่าเรือนิวยอร์ก ใช้เวลา 18 วัน ไปขึ้นฝั่งที่เมืองฮัมบูร์ก (Hamburg) ของเยอรมัน

แฝดสยามคู่นี้ เป็นนักเดินทางท่องโลกที่ยิ่งใหญ่ ใช้ชีวิตคุ้มค่า

คณะเดินทางต่อไปเมืองเบอร์ลิน (Berlin) นายวอลเลซจองโรงแรมไว้นาน 3 สัปดาห์ เพื่อโชว์ตัวขอโกยเงินจากกระเป๋าชาวเยอรมันผู้ไม่เคยมีใครเห็นคนประหลาดแบบนี้มาก่อน

ความตกตะลึงที่ลุงแฝดได้รับทราบแล้วกระอักกระอ่วนที่สุดคือการแสดงของแฝดสยามที่ต้องไปเล่นร่วมกับคณะละครสัตว์ ที่ผ่านมาในชีวิต แก่ป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยต้องมาบูรณาการเล่นกับคณะละครสัตว์

ไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งนั้น เล่นก็เล่น เปรียบได้กับสุภาษิตไทยที่ว่า ผีถึงป่าช้าแล้ว ยังไงก็ต้องฝัง

ในห้วงเวลานั้น เยอรมันกำลังขับเคี่ยวกับฝรั่งเศส ชิงดี ชิงเด่นกันในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะด้านการเป็นมหาอำนาจทางทหาร ประเทศต่างๆ ในยุโรปกำลังจับขั้วแบ่งข้างจะทำสงครามกันทั้งทวีป

บุคคลสำคัญที่ตั้งใจเข้ามาชมการแสดงตัวของแฝดประหลาดในกรุงเบอร์ลิน คือ ไกเซอร์ วิลเฮม ที่ 1 บุรุษเหล็กของเยอรมัน อายุ 73 ปี และขุนพลคู่บารมีชื่อ Prime Otto Von Bismark ขุนศึกทั้งสองท่านนี้เพิ่งส่งกำลังทหารไปบดขยี้เดนมาร์ก และออสเตรียพินาศสิ้น

นาทีนั้นกองทัพเยอรมันฮึกเหิม เกรียงไกรสะท้านทวีปยุโรป

ทุกเวลานาทีในวัย 60 ปีของแฝดอิน-จัน ที่โชว์ตัวในเยอรมันมีค่ายิ่งนัก แต่ทว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจคือ การเสาะแสวงหาแพทย์จากทุกสำนักในยุโรป ที่จะขอผ่าแยกร่างออกจากกัน

การแสดงตัวของ Siamese Twins ราบรื่นได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ชาวเมืองเบียร์ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

วาระซ่อนเร้นในใจคือ คำถามว่า หมอเยอรมันจะช่วยผ่าตัดแยกร่างออกจากกันก่อนตายได้มั้ย?

นายวอลเลซ ชาวอังกฤษที่เป็นหุ้นส่วนเดินทางมาด้วย แอบไปติดต่อเงียบๆ กับแพทย์เยอรมันที่ชื่อ นายแพทย์ รูดอล์ฟ เวอร์โชว์ ( Dr.Rudolf Virchow) เพื่อขอนัดให้แฝดมาตรวจร่างกาย

ลุงแฝดอิน-จัน บรรพบุรุษสยามของเรา ตอนนี้มีความเชื่องช้า ขึ้นรถลงเรือ เดินเหินไปไหนไม่ปราดเปรียวเหมือนตอนหนุ่มๆ แต่ก็ได้รับการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีจากสังคมชาวเยอรมันที่อยากเห็นความประหลาดของแฝดบันลือโลกที่ข้ามทะเลมาจากอเมริกา หนังสือพิมพ์ในเบอร์ลินชื่อ The Vossiche Zeitung ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2413 ลงข่าวครึกโครมเรื่องการแสดงตัวของลุงแฝดในเบอร์ลิน ทำให้การแสดงทุกรอบอุ่นหนาฝาคั่งจากชาวเมืองเบียร์และไส้กรอก

ประวัติความเป็นมาของแฝดสยามอายุ 60 ปี ถูกนำไปพิมพ์ขาย และขายได้ขายดี แน่นอนที่สุด สรีระร่างกายของแฝดคู่นี้เป็นประเด็นอร่อยปากที่หมอในเยอรมันนำมาพูดคุย ถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง และหมอทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะมาขอสัมผัสตัวเป็นๆ ของแฝดด้วยความอยากได้ใคร่รู้

การแสดงไหลลื่นไปทุกวัน จิตใจก็พะวงที่จะได้พบหมอเวอร์โชว์วันแล้ววันเล่า

คุณหมออายุ 49 ปี แกมีลูกเล่นที่เหนือชั้น คืนวันหนึ่งหมอเวอร์โชว์แอบไปซื้อตั๋วเข้าชมการแสดงของแฝดแบบไม่ให้ใครรู้ แกเข้าไปนั่งชมการแสดงได้พักเดียว แทนที่หมอจะได้ยินเสียงปรบมือ แต่หมอกลับได้ยินแต่เสียงหัวเราะปนเสียงบ่นเวทนาจากคนดูตลอดการแสดง

สิ่งที่หมอประจักษ์ด้วยตา คือ แฝดทั้งสองมีสภาพของผู้สูงวัยเงอะงะ งุ่มง่าม ไม่น่าดูชมแต่ประการใด การแสดงน่าเบื่อหน่ายจนคุณหมอทำใจไม่ได้ เลยต้องขอลุกออกจากห้องชมการแสดงก่อนจบ

ในที่สุด หมอเวอร์โชว์ผู้ใส่ใจกับลุงแฝด จึงยอมรับนัดให้ไปพบเพื่อตรวจร่างกายอย่างเป็นทางการ

จากการตรวจของแพทย์ชาวเยอรมันที่ชื่อเวอร์โชว์ราว 1 ชั่วโมง คุณหมอบอกว่าจะส่งผลการตรวจวิเคราะห์ให้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยเร็วที่สุด แต่ที่หมอบอกได้ทันทีหลังการตรวจ คือ แฝดทั้งสองกำลังจะเป็นคนหูตึง โดยแฝดคนหนึ่งจะเริ่มหูตึงก่อน และจะตามด้วยแฝดอีกคน

หมอวินิจฉัยได้ตรงเป๊ะ เพราะแฝดจันเริ่มหูตึงทั้งสองข้างแล้ว ส่วนของแฝดอินนั้น หูข้างซ้ายด้านที่ติดกับแฝดจัน ก็เริ่มไม่ได้ยินเสียง

นอกจากนั้น หมอยังบันทึกไว้ด้วยว่า ใน 1 นาทีชีพจรของแฝดจันเต้นเร็วกว่าของแฝดอิน 6-8 ครั้ง และแฝดจันหายใจเร็วกว่าแฝดอิน

ทีมแพทย์เยอรมันในเบอร์ลินยังระบุด้วยว่า สำหรับอวัยวะภายในของแฝดนั้น ทีมแพทย์ไม่มั่นใจประเด็นเดียว คือ แฝดใช้ตับร่วมกันหรือไม่?

นี่เป็นข้อมูลที่คุณหมอเยอรมันบันทึกไว้เกือบ 200 ปีที่แล้วครับ

ยุคสมัยนั้น ยังไม่มีเครื่องเอกซเรย์ที่จะมองเห็นตับ ไต ไส้ พุง ในร่างกาย หมอก็บอกอะไรมากไม่ได้นัก แต่สำหรับยุคปัจจุบันหมอบอกเราได้ทุกอย่างเหมือนหมอเดินเข้าไปในปากเรา แล้วเห็นทุกอย่างในร่างกาย (ผู้เขียน)

ลุงแฝดตระเวนแสวงหาหมอเพื่อผ่าตัดแยกร่างมาเกือบตลอดชีวิต อเมริกา อังกฤษ และเยอรมัน ยังไม่เคยมีหมอสำนักไหนกล้าลงมือผ่าให้ ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ที่ตรงกันทั้งหมด คือ ถ้าผ่าแยกร่างคือการเสียชีวิต

ความฝันดับวูบลงอีกครั้ง ในเบอร์ลินผ่าแยกร่างไม่ได้ หมอไม่ลงมีดเฉือนให้ แถมยังกำลังจะกลายเป็นคนหูหนวกตอนแก่

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่มีคำว่าท้อถอย

คณะของลุงแฝด 5 คนนำโดยนายวอลเลซ เก็บข้าวของย้ายวิก ออกเดินทางต่อไปเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersberg) แล้วเดินทางต่อไป มุ่งหน้ามอสโก

การประสานงานล่วงหน้าทำได้อย่างยอดเยี่ยม ลุงแฝดได้รับการต้อนรับอย่างดีในเมืองหลวงของรัสเซียเช่นเดียวกับทุกประเทศที่ผ่านมา ผู้เขียนพยายามค้นหาข้อมูลการแสดงในมอสโก ไม่มีบันทึกให้คนรุ่นหลังได้ติดตาม

ความเป็นคนดังของแฝดกระหึ่มในมอสโก ทำให้ทหารของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 มาพบหลังเวที เพื่อขอเทียบเชิญแฝดสยามผู้อาวุโสและบุตรทั้งสองไปเข้าเฝ้าท่านฯ ในพระราชวัง

โอ้ว พระเจ้าช่วย…แฝดสยามนอนไม่หลับอีกแล้ว

ลุงแฝดพร้อมด้วยเจมส์ อายุ 21 ปี และอัลเบิร์ต อายุ 12 ปี เป็นแขกของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ กษัตริย์ของรัสเซีย เดินทางเข้าไปในพระราชวังอย่างสง่างาม

อิน-จัน ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อพระเจ้าซาร์โปรดฯให้ลุงแฝดจากเมืองแม่กลองไปนั่งชมการแสดงละครในพระราชวังพร้อมกับพระองค์ ที่สำคัญที่สุดคือ พระเจ้าซาร์โปรดฯให้อิน-จัน นั่งดูละครด้วยกันในห้องส่วนตัวของพระองค์ในโรงละคร พระเจ้าซาร์ทรงพูดคุย หยอกล้อเป็นกันเองกับสุภาพบุรุษแฝดอย่างนึกไม่ถึง

ในการสนทนากับพระเจ้าซาร์ แฝดจันได้ทูลกับพระเจ้าซาร์ว่า ลูกชาย ชื่ออัลเบิร์ต ไม่ค่อยสบาย เป็นฝีที่บริเวณลำคอ ซึ่งพระเจ้าซาร์ ทรงเมตตารับสั่งให้หมอหลวงในวังมาช่วยดูแลรักษาให้ด้วย

นี่เป็นตำนานชีวิตของบรรพบุรุษไทย ที่คนไทยรุ่นหลังควรได้รับทราบ แฝดคู่นี้ แรกเกิดมาจากท้องนางนาก ที่บ้านเรือนแพริมน้ำ เมืองแม่กลอง มีแต่คนชี้นิ้วว่าเป็นกาลกิณีกับบ้านเมือง แต่เมื่อไปอยู่อเมริกา ท่องยุโรป คนที่ร่างกายผิดปกติคู่นี้ กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับเกียรติให้เข้าพบผู้นำของโลกในสมัยนั้น ชนิดที่ใครก็ทำเทียม เลียนแบบไม่ได้

แผนการเดินทางไป คือตระเวนต่อไปหาเงินในเวียนนา โรม มาดริด และตบท้ายด้วยการแสดงที่ปารีส

ในความเจิดจรัสรุ่งเรืองของยุโรปเวลานั้น แอบแฝงไปด้วยความคุกรุ่น ความขัดแย้งที่ซ่อนในใจของผู้นำประเทศ การแย่งชิงทรัพยากร การแข่งขันกันแย่งยึดดินแดนให้กว้างใหญ่ที่สุดของมหาอำนาจทั้งหลาย สะสมกันมาเหมือนไฟสุมขอน พร้อมที่จะเปิดศึกสงครามต่อกัน

นายวอลเลซ ที่เป็นผู้จัดการทีมของลุงแฝด ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ได้รับคำเตือนว่า ไฟสงครามในยุโรปกำลังก่อตัว บรรยากาศไม่อำนวยต่อการเดินทางไปหาเงิน

และข่าวลือก็เป็นความจริง ใน 19 กรกฎาคม พ.ศ.2413 ฝรั่งเศสประกาศสงครามกับปรัสเซีย (พัฒนาต่อมาเป็นประเทศเยอรมัน)

คณะ 5 คนของแฝด มีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือ ยกเลิกการเดินทางต่อ เก็บของกลับบ้านในอเมริกา ซึ่งในเวลานั้นนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่ กำลังสร้างชาติให้แข็งแกร่ง โดยไม่เข้ามาข้องแวะกับความขัดแย้งของประเทศต่างๆ ในยุโรป

จากมอสโก ย้อนกลับไปฮัมบูร์ก และตีตั๋วเรือโดยสารชื่อ Gluckstadt มุ่งหน้ากลับนิวยอร์ก ระหว่างการเดินทางบนเรือ แฝดผู้มากมิตรไม่เคยเหงา เฮฮากับผู้โดยสารมากหน้าหลายตา ที่ถนัดที่สุดคือ การดวลหมากกระดานกับใครก็ได้ ที่คิดว่าเก่งพอ

วันที่ 7 ของการเดินทางบนเรือเดินสมุทรกลับอเมริกา สถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน หลังจากการดวลหมากรุกจบ ข้อมูลแรกระบุว่า แฝดเล่นหมากรุกกับ ดร.โรเบิร์ต ประธานาธิบดีประเทศไลบีเรีย ที่เดินทางมาบนเรือ ข้อมูลที่สองระบุว่า ลุงแฝดเล่นหมากรุกกับเฟรดเดอริก ดักกลาส (Frederick Douglas) ที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดีลินคอล์น

เกมดวลหมากรุกที่ลุงแฝดเก่งขั้นเทพจบลง ลุงแฝดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ปรากฏว่า แฝดจันลุกขึ้นตามแฝดอินไม่ไหว แขนขวา และขาไม่มีแรงพยุงตัว

แฝดอินสอบถามคู่ชีวิตตัวติดกันชื่อจัน ที่เคียงข้างกันมา 60 ปี จันตอบว่าไม่มีแรง ไม่สามารถขยับตัวได้เลย แขนขวาชาไปหมด ชาลงไปถึงท่อนล่างของลำตัว นี่คืออัมพาตอย่างอ่อนๆ

สัญญาณเตือนความเสื่อมทรุดของสังขาร ได้มาถึงลุงแฝดอิน-จันแล้วขณะเดินทางบนเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกจากฮัมบูร์กกลับบ้านในอเมริกา เป็นการเจ็บป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อครั้งแรกที่คนคู่ตัวติดกันไม่เคยประสบมาก่อนตั้งแต่เกิด

เมื่อแฝดจันขยับลุกออกจากเตียงไม่ได้ แฝดอินเลยต้องนอนบนที่นอนในเรือ ติดหนึบอยู่ด้วยกันตลอดการเดินทาง บนเรือไม่มีหมอที่จะดูแลรักษา

ท่านผู้อ่านคงมโนได้นะครับว่า สภาพที่แฝดทั้งสองประสบอยู่เวลานั้น แฝดอิน-จัน มีลำตัวติดกันตรงบริเวณซี่โครง แฝดจันเป็นอัมพาต แขนข้างหนึ่งและร่างกายท่อนล่างไม่มีแรง ตัวเชื่อมติดกัน จะลุกนั่งนอนเดิน จะไปห้องน้ำ ทานอาหาร มันทรมานร่างกายและจิตใจแฝดอินแค่ไหน

สิงหาคม พ.ศ.2413 เรือเดินสมุทรจากฮัมบูร์กวิ่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เทียบท่าที่นิวยอร์ก ผู้โดยสารทั้งหมดขึ้นฝั่ง ลูกชายของแฝดอิน-จัน รีบพาพ่อและลุงแฝดไปให้หมอตรวจทันที ลุงแฝดอยู่ในความดูแลของแพทย์ในนิวยอร์ก 2-3 วัน เมื่ออาการทุเลาลง พอจะขยับเขยื้อนได้บ้าง ครอบครัวบังเกอร์ทั้ง 4 ชีวิตรีบเดินทางกลับบ้านที่เมาท์แอรี่ นอร์ธแคโลไรนา

หมอโจเซฟ และหมอวิลเลี่ยม โฮลลิงส์เวิธ (Dr.Joseph- Dr.William Hollingsworth) คือเพื่อนรักและแพทย์ประจำครอบครัวรุดมาตรวจร่างกายทันทีที่แฝดกลับมาถึงบ้าน

อาการของแฝดจัน คือ ไอ เหนื่อย หอบ แขนขวาและร่างกายท่อนล่างไม่มีแรง ส่วนแฝดอินยังสุขภาพดีแข็งแรง แต่สภาพจิตใจตกต่ำสุดขีด แฝดอินมีความเครียดกับแฝดจันที่เป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหฉุนเฉียว และแฝดจันที่บัดนี้กลายเป็นนักดื่มหัวราน้ำ

อาการของแฝดจันกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงต้องพยุงกันไปตลอดเวลา ภรรยาของแฝดที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา คือ ซาราห์ และอาดีเลด คือ ตัวละครที่มีชีวิตจริง ต้องทำงานหนักเพื่อประคับประคองร่างกายที่อ่อนล้าและจิตใจที่ตกต่ำของสามีแฝดทั้งสอง

เธอทั้งสองทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการดูแลสามี เปรียบประดุจของขวัญจากพระเจ้าที่ส่งมาเป็นภรรยาของแฝดสยามยามแก่เฒ่า

ตำนานชีวิตของแฝดสยามนักสู้จากเมืองแม่กลองยิ่งใหญ่ตลอดกาล ช่วงสุดท้ายของชีวิตแฝดบันลือโลกกำลังวิ่งเข้ามาหา งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

โปรดติดตามตอนต่อไป ที่ผู้เขียนไม่อยากจะเขียนครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image