ที่มา | คอลัมน์สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
บนภูพระบาท อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี มีหินตั้งในศาสนาผีราว 3,000 ปีมาแล้ว
หลังรับศาสนาพุทธ ได้ดัดแปลงหินตั้งเป็นเสมาหิน ต้นแบบใบเสมาปักรอบโบสถ์ทุกวันนี้ (ไม่มีในอินเดีย, ลังกา) เป็นงานสร้างสรรค์โดยแท้ๆ เนื้อๆ จากอีสาน
หินตั้งยุคเริ่มแรกเป็นที่สิงสู่ของผีบรรพชนเรียก หินก่ายฟ้า มีร่องรอยเค้ามูลอยู่ในนิทานเรื่องขุนบรม (เมื่อจะสร้างปราสาทต้องปักหินก่ายฟ้า เป็นที่สิงสถิตของผีเจ้าที่)
หินก่ายฟ้า หมายถึง หินที่ปักดินสูงพาดถึงฟ้า เป็นบันไดให้ผี (เทวดา) กับคนไปมาหากัน ดังมีคำคล้องจองในนิทานเรื่องแถนและกำเนิดมนุษย์จากน้ำเต้าปุง ว่าเมื่อก่อนนั้นมีดินหญ้าฟ้าแถน “ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด”
หินตั้ง เป็นชื่อสมมุติขึ้นใหม่ใช้เรียกวัฒนธรรมหินแบบหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นในศาสนาผีเมื่อหลายพันปีมาแล้ว มีทั่วไปในโลกและอุษาคเนย์
ในไทยพบมากในอีสาน และพบบ้างบางแห่งในภาคกลาง เช่น อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี, อ. บ้านด่านลานหอย จ. สุโขทัย ต่อเนื่อง อ. เมืองฯ จ. ตาก ฯลฯ
วัฒนธรรมหินไม่ได้สิ้นสุดเด็ดขาดเมื่อมนุษย์ค้นพบโลหะ แต่ในสำนึกของคนยังมีหินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สืบเนื่องมา เช่น นกหัสดีลิงค์เมื่อเสร็จงานศพส่งวิญญาณคนตายขึ้นสวรรค์แล้ว ก็กลายร่างเป็นหิน รองานต่อไปคืนร่างเป็นนก ฯลฯ และยังมีคำขู่ทั่วไปว่า “จะสาปให้เป็นหิน”
มีนักท่องเที่ยวนานาชาติบางกลุ่มเชื่อในศาสนาผี แล้วเก็บก้อนหินถนัดมือวางซ้อนกัน โดยมีนิมิตเป็นสถูปเจดีย์หรือสิ่งอื่นๆ เพื่อสักการะอำนาจเหนือธรรมชาติ
สุสานเผานั่งยาง ต. หนองแวง อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี มีผู้บอกว่าอยู่ห่างทางทิศใต้จากภูพระบาทราว 35 กิโลเมตร
ทางการที่ดูแลภูพระบาท ควรฉวยวิกฤตเป็นโอกาสขณะสุสานเผานั่งยางเป็นข่าวน่าสะพรึงกลัวขณะนี้ สร้างกิจกรรมร่มเย็นเป็นโฆษณาประชาสัมพันธ์ทอดน่องท่องเที่ยวแอ่งอารยธรรมภูพระบาท โดยไม่ต้องรอมรดกโลก (เพราะยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์)
หินก่ายฟ้า และอุสา-บารส น่าจะยกหยิบมาใช้งานได้ดี เพื่อการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมบนภูพระบาทและชุมชนโดยรอบ ในฤดูฝนไปต้นฤดูหนาวข้างหน้า