ลางร้ายที่เด่นชัดของการล้มล้างรัฐบาลเผด็จการของซูดาน : โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

สาธารณรัฐซูดานเคยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาแต่ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ โดยดินแดนทางตอนใต้ประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่ของประเทศซูดานได้แยกตัวออกไปเป็นประเทศเอกราชคือประเทศเซาท์ซูดานเมื่อ พ.ศ.2554 หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองอันยาวนานคร่าชีวิตคนไปประมาณ 1.5 ล้านคนเลยทีเดียว จนทางองค์การสหประชาชาติต้องเข้าแทรกแซงส่งทหารไปประจำการในซูดานและดูแลจนกระทั่งมีการแยกประเทศได้สำเร็จ

แต่ภายในประเทศซูดานเองก็ยังมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นที่แคว้นดาร์ฟูร์ เป็นดินแดนทางภาคตะวันตกของซูดาน มีพื้นที่เกือบ 5 แสนตารางกิโลเมตร คือใหญ่พอๆ กับประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6-9 ล้านคน โดยคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดาร์ฟูร์เป็นชาวแอฟริกันผิวดำ นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ภาคเหนือของประเทศ อันเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการปกครอง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านในดินแดนดาร์ฟูร์ซึ่งมีคนตายไปแล้วกว่า 300,000 คน และมีผู้อพยพลี้ภัยกว่า 2 ล้านคน

ประเทศซูดานตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป มีเมืองหลวงชื่อคาร์ทูม มีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศอียิปต์ ทิศใต้ติดต่อกับประเทศเซาท์ซูดาน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทะเลแดง ทิศตะวันออกติดกับเอริเทรียและเอธิโอเปีย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับเคนยาและยูกันดา ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับคองโกและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทิศตะวันตกติดกับประเทศชาด และทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับลิเบีย

Advertisement

ประวัติศาสตร์ของซูดานในสมัยโบราณซูดานคือแคว้นนูบีย ชาวพื้นเมืองในซูดานส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคอปติกต่อมาถูกชาวอาหรับรุกรานและยึดครองและนำเอาศาสนาอิสลามมาเผยแพร่จนประชากรทางภาคเหนือหันไปนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ใน พ.ศ.2441 ซูดานตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ 58 ปี ก็ได้รับเอกราชเมื่อ พ.ศ.2499 ซูดานมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐสภา

แต่ใน พ.ศ.2512 ก็เกิดรัฐประหารเริ่มการปกครองแบบเผด็จการโดยมีรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศ รัฐบาลประกาศจะสร้างซูดานเป็นรัฐสังคมนิยม 12 จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับนับถือศาสนาอิสลามและเคยมีอำนาจในรัฐบาลกลางมาช้านาน ใน 3 จังหวัดทางภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำนับถือศาสนาคริสต์และลัทธิเดิมของชาวพื้นเมืองแอฟริกา ในปี พ.ศ.2515 รัฐบาลยอมให้จังหวัดทางใต้ปกครองตนเอง แล้วทั้งสองซีกของประเทศก็เริ่มทำสงครามกลางเมืองใน พ.ศ.2537 ในที่สุดภายหลังอยู่ในอำนาจมา 16 ปี ประธานาธิบดีไนไมรี ผู้เผด็จการพลเรือนก็ถูกโค่นอำนาจ จากการทำรัฐประหารโดยกองทัพทหารเมื่อ พ.ศ.2528 และซูดานก็อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการทหารซึ่งนำโดยประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ มากว่า 30 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ ถูกหมายจับจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ณ กรุงเฮก ในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก่อสงครามในแคว้นดาร์ฟูร์และเป็นภัยต่อมนุษยชาติ เกี่ยวข้องกับสงคราม
ดาร์ฟูร์ โดยจากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ พบว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของบาเชียร์ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มกบฏดาร์ฟูร์ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 300,000 คน แต่ประธานาธิบดีบาเชียร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิงและไม่ยอมไปปรากฏตัวต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพราะเขายังคงครองอำนาจอยู่นั่นเอง

ในวันที่ 19 ธันวาคม ปีที่แล้วที่เมืองอัตบาร่าเมืองเอกทางเหนือของกรุงคาร์ทูมมีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงราคาขนมปังซึ่งขึ้นราคาหลายเท่าตัวเนื่องจากรัฐบาลหยุดการค้ำประกันราคาขนมปังเนื่องจากไม่มีเงิน ซึ่งจุดประเด็นให้เกิดการประท้วงและนัดหยุดงานขึ้นทั่วประเทศโดยองค์กรแพทย์ในซูดานมีบทบาทสำคัญในการจัดการประท้วงและนัดหยุดงานทั่วประเทศ จากประเด็นปัญหาเศรษฐกิจ ยกระดับเป็นการขับไล่ประธานาธิบดี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา กลายเป็นการประท้วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กลุ่มสิทธิมนุษยชนประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 คน จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ กองกำลังความมั่นคงปะทะกับผู้ประท้วงในเมืองคาร์ทูม เมืองหลวงของซูดาน เนื่องจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นทั่วประเทศ โดยตำรวจปราบจลาจลได้ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมขนาดใหญ่องค์กรร่วมแพทย์ของแพทย์ วิศวกรและครูที่ประสานการประท้วง กล่าวว่า มีการประท้วงเกิดขึ้นอย่างน้อย 50 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนธันวาคม 2018 ในประเด็นปัญหาเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การขับไล่ประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ ออกจากตำแหน่ง

จากปัญหามีรายงานว่า ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเพื่อควบคุมฝูงชนในละแวกใกล้เคียงหลายแห่งในเมืองคาร์ทูมนับตั้งแต่การประท้วงเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่กล่าวว่าล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 26 คน แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนแย้งว่าเสียชีวิตมากกว่า 40 คน กลุ่มแพทย์ตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังรักษาความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากมีสถานะทางสังคมสูงและยังมีบทบาทในการจัดการประท้วงและนัดหยุดงานทั่วประเทศ (และเป็นหัวหอกในการนำประชาชนให้อารยะขัดขืนด้วยการหยุดงาน อยู่บ้าน) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐยิงเด็กชายอายุ 16 ปี และแพทย์ผู้เข้าร่วมการประท้วงคนหนึ่งในเมืองหลวงคาร์ทูม (ซึ่งแพทย์ที่ถูกยิงกำลังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประท้วง) แพทย์ที่เสียชีวิต ปรากฏว่าพบกระสุนจริงฝังในร่างกายเขาถึง 14 นัด

ประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ ผู้เผด็จการทหารของซูดานท่าจะไปไม่รอดเสียแล้ว

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image