กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม การเมืองที่กำลังเคลื่อนคืบหน้าก็บังเกิดเหตุการณ์แทรกขึ้นมา
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. นำแกนนำและสมาชิกเข้าสมัคร ส.ส.ที่ กกต.
ครั้งนั้น ร.ท.ปรีชาพล และคณะได้เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลสมควรเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ
ณ เวลานั้นแวดวงการเมืองเกิดอาการสั่น การแสดงความคิดเห็นและอารมณ์บนสังคมออนไลน์ปะทุขึ้น
กระทั่งเวลาดึกของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มีพระราชโองการเกี่ยวกับทูลกระหม่อมหญิง
ข้อความในพระราชโองการตอนหนึ่งระบุว่า “การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
และข้อความต่อมาที่ระบุว่า “อนึ่ง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับปัจจุบัน มีหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รองรับสถานะพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประเพณี การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดใดมิได้
ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมครอบคลุมถึงพระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับพระองค์หรือแทนพระองค์อยู่เป็นนิจ
ดังนั้น พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
พระราชโองการนี้มีความหมายยิ่ง
ภายหลังจากมีพระราชโองการออกมา พรรคไทยรักษาชาติได้เงียบหายไปพักใหญ่ กระทั่งในเวลาต่อมา ร.ท.ปรีชาพล และแกนนำได้ปรากฏตัว
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยุบพรรคไทยรักษาชาติ
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันและมีมติให้ยื่นร้องให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติในเวลาต่อมาอีกไม่นาน
ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยกล่าวหาว่าพรรคไทยรักษาชาติกระทำผิดมาตรา 92 ข้อ 2 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
ข้อหาดังกล่าวกล่าวหาว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนพรรคไทยรักษาชาติทำหนังสือขอชี้แจง โดยอ้างมาตรา 93 พ.ร.ป.ฉบับเดียวกันที่ว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อเสนอความเห็นต่อ กกต.พิจารณา
พรรคไทยรักษาชาติขอโอกาสในการชี้แจง
อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมา กกต.ได้มีมติและนำคำร้องเข้ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันข้อกล่าวหาพรรคไทยรักษาชาติเหมือนเดิม
ข้อหาดังกล่าวมีความผิดถึงขั้นยุบพรรค
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อรับคำร้องแล้วได้นัดประชุมในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ และมีมติเอกฉันท์รับคำร้อง และเปิดโอกาสให้พรรคไทยรักษาชาติชี้แจงภายใน 7 วัน
พร้อมกันนั้นได้นัดวันพิจารณาครั้งหน้า
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ก่อนวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง
ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองที่อยู่คนละฟากฝั่งพรรคไทยรักษาชาติคึกคักขึ้นมา
ทั้งนี้เพราะการเมืองไทยถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วตั้งแต่แรก คือ ขั้วสนับสนุน คสช. กับขั้วที่ไม่สนับสนุน
พรรคไทยรักษาชาติเป็นพรรคที่อยู่ในขั้วที่ไม่สนับสนุน คสช. และยังถูกมองว่าเป็นพรรคที่อยู่ในฟากฝั่งของพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ “แตกออกมา” เพื่อ “รวมกันตี”
รวมคะแนนเสียงเพื่อเอาชนะขั้วที่สนับสนุน คสช.
ดังนั้น เมื่อพรรคไทยรักษาชาติต้องเผชิญหน้ากับคดียุบพรรค ย่อมส่งผลสะเทือนถึงพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายที่ไม่เอา คสช.
นอกจากนี้ ระยะเวลาการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามองทางการเมือง
หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องพิจารณา และตัดสินหลังการเลือกตั้งและรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว
ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ทษช. ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภา จะสามารถโยกไปสังกัดพรรคใหม่ได้ แม้ว่าพรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบ
กรณีเช่นนี้ผลกระทบที่มีต่อขั้วไม่เอา คสช. มีไม่มาก เพราะบุคคลที่ได้รับผลกระทบมีเฉพาะกรรมการบริหารและตัวพรรค
ส่วน ส.ส.ของพรรคที่ได้รับการเลือกตั้่งสามารถหาที่อยู่ใหม่ได้
แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและตัดสินก่อนการเลือกตั้ง ผลที่ตามมาย่อมมีมากกว่านั้น
ถ้าศาลตัดสินไม่ยุบพรรค ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าตัดสินยุบพรรค เท่ากับว่าพรรคไทยรักษาชาติหายไปจากสมการการเมือง
คะแนนของพรรคไทยรักษาชาติจะไปตกอยู่กับใคร
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการเมืองที่กำลังเป็นอยู่จะพลิกผันไปกี่ตลบ แต่อารมณ์ของประชาชนคนไทยตอนนี้คือต้องการเลือกตั้ง
ดูเหมือนว่าคนไทยจะเริ่มรู้สึกว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป สังคมไทยจะมีคำตอบที่ชัดเจน
รู้ว่าใครแพ้ รู้ว่าใครชนะ
ความจริงแล้วประชาชนก็คาดคะเนกันว่า ผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นไร โดยดูจากคู่ต่อสู้ที่ยังเป็นขั้วอำนาจเดิมๆ ที่ปะทะกันมาตั้งแต่การเลือกตั้่งปี 2550 ปี 2554 หรือแม้แต่ปี 2557 ที่ไม่สามารถเลือกตั้งได้
แต่ประชาชนก็อยากจะให้การเลือกตั้งในปี 2562 นี้เกิดขึ้น
หวังว่าเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ขั้วอำนาจที่ขัดแย้ง จะยอมรับ
และนำการเมืองไทยไปสู่ความสันติสุขเหมือนกับที่ได้หาเสียงกันอยู่ขณะนี้