กาลครั้งหนึ่ง…นานมาแล้ว แฝดสยาม (23) เมื่อพญามัจจุราช กวักมือเรียกทีละคน

ชีวิตของคนคู่ตัวติดกัน ที่เรียกว่า Siamese Twins หรือ แฝดสยาม อิน-จัน บรรพบุรุษของชาวไทยจากเมืองแม่กลอง สมุทรสงคราม ที่ไปใช้ชีวิตในอเมริกาย่างเข้าสู่วัย 60 ปี โชกโชนด้วยประสบการณ์ขั้นเทพ ร่างกายที่แปลกประหลาดน่าจะเป็นกาลกิณีอับอาย น่าจะเป็นอุปสรรคของชีวิต ผู้คนทั้งหลายเย้ยหยัน แต่คนคู่อิน-จัน กลับใช้ชีวิตได้อย่างสง่างาม มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เดินทางท่องโลก มีเงินมีทอง มีครอบครัวในอเมริกา สร้างตำนานระดับโลกต้องจารึก

ลุงแฝดหอบหิ้วพะรุงพะรังกันกลับมาบ้านในอเมริกาหลังจากยุติแสดงตัวหาเงินในเยอรมันและรัสเซีย เพราะเกิดสงครามในยุโรป แฝดจันเป็นอัมพาต ท่อนล่างของลำตัวไม่มีแรง แขนขวาไม่มีกำลังเป็นตัวรั้งหน่วงแฝดอินให้ต้องหอบหิ้วกัน ใช้เชือกรั้งร่างกายให้พยุงกันไปไหนต่อไหนได้บ้าง

แฝดอิน-จัน ตระหนักดีว่า การที่ร่างกายเชื่อมติดกัน และอวัยวะภายในร่างกายยังคงเป็นปริศนาแบบนี้ หากวันหนึ่งใครสักคนต้องตายลงก่อน จะทำให้อีกคนต้องตายตามเป็นแน่แท้

ทางออกที่ง่ายที่สุดคือ แยกร่างกายออกจากกันเป็นอิสระ ขอเป็นคน 2 คน 2 ร่างกาย แต่ที่ผ่านมาทั้งชีวิต ไม่มีหมอที่ไหนยอมผ่าตัดแยกร่างให้

Advertisement

คนเป็นอัมพาตตัวคนเดียวก็น่าอึดอัดอยู่แล้ว แต่นี่คน 2 คน ดันมีร่างกายตรงบริเวณหน้าอกเชื่อมติดกัน ยิ่งเป็นความระทมขมขื่นเป็นสองเท่า

กฎแบ่งกันอยู่บ้านละ 3 วันมานานนับ 10 ปี ยังคงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บ้านของแฝดอินและบ้านของแฝดจัน 2 ที่ เมาท์แอรี่ เมืองเล็กๆ ในชนบททางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐ นอร์ธแคโรไลนา ห่างกันราว 1 ไมล์ แยกกันอยู่เพื่อลดความแออัดและลดการกระทบกระทั่งอย่างได้ผล

ครอบครัวของแฝดทั้งสอง มีหมอโจและหมอบิลลี่ เพื่อนรักของลุงแฝดทำหน้าที่คอยดูแลมายาวนาน หมอทั้งสองประคองดูแลสุขภาพให้แฝดทั้งสองมีสุขภาพร่างกายดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัญหาหลักคือ แฝดจันพยายามบำบัดความกลัดกลุ้มด้วยการใช้เหล้าเป็นตัวช่วยเสมอมา

Advertisement

วันที่แฝดจันไม่กินเหล้า แฝดทั้งสองก็เป็นปกติสุข แยกสั่งการคนงานในไร่ของตนให้ทำงาน บริหารจัดการธุรกิจ ทำมาค้าขายแบบที่เพื่อนบ้านอเมริกันยังต้องอิจฉา แต่เมื่อดื่มเหล้าแฝดจันจะกลายเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจที่สุดที่ไม่สามารถผลักไสออกไปได้ และการทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียงก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จะจบลงด้วยความใจเย็นของแฝดอินที่คอยปลอบประโลมและเอื้อเฟื้อต่อแฝดจันเสมอ และแฝดจันก็จะขอโทษขอโพยแฝดอิน เป็นเช่นนี้ร่ำไป แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เป็นเด็กแถวเมืองแม่กลอง สมุทรสงคราม

การทำมาหาเลี้ยงชีพ แฝดทั้งสองทุ่มเทกับการเกษตร ที่ดิน ทรัพย์สินของแฝดแยกขาดจากกัน

แฝดจันมีลูกเหลือ 9 คน ทำมาค้าขายเก่ง มีกิจการผลิตเนย ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ ในที่ดิน 350 เอเคอร์ มีคนงานผิวสีทำไร่ 3 คน มีการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อเสียภาษีว่า ทรัพย์สินของแฝดจันมีค่ารวมราว 23,000 เหรียญ ถือได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินในสังคมชนบทของอเมริกา

ส่วนแฝดอิน ผู้ใจดี ใจเย็น ได้รับการประเมินทรัพย์สินและที่ดินเป็นมูลค่าราว 7,000 เหรียญ น้อยกว่าแฝดอิน แต่ครอบครัวก็สุขสบายพอตัว

ถ้าอารมณ์ดีๆ อากาศแจ่มใส ลุงแฝดทั้งสองจะชวนกันนั่งรถม้าออกไปกินลมชมวิว ทักทายเพื่อนฝูง เฮฮา เพื่อผ่อนคลาย และบางครั้งยังเข้าไปช้อปปิ้งถึงในเมือง ซึ่งแทบทุกคนจะคุ้นเคยกับลุงอิน-จัน คู่นี้เป็นอย่างดี

หนังสือพิมพ์ยังติดตามเขียนข่าวชีวิตและครอบครัวของลุงแฝดเป็นระยะๆ

ความโชคดี โดดเด่นของแฝดคู่นี้ประการหนึ่งที่ฝรั่งเขียนบันทึกไว้คือ ความสามารถและพลังทางเพศที่เหลือเฟือ

ที่ผ่านมา หลังแต่งงาน ทั้งคู่แทบไม่เคยปล่อยให้ภรรยาท้องว่าง ทั้งสองมีลูกต่อเนื่องกันมา ประดุจจูงมือกันเดินแถวออกมาจากครรภ์ของซาร่าห์และอาดีเลดได้

ลูกสาวคนสุดท้ายของแฝดจัน ชื่อ แฮตตี้ คลอดออกมาก่อนแฝดจันเป็นอัมพาต 2 ปี

ส่วนโรเบิร์ต ลูกชายคนสุดท้องของแฝดอิน เกิดก่อนแฝดจันเป็นอัมพาต 3 ปี

แปลความหมายได้ว่า แฝดอายุใกล้ 60 กันแล้ว ยังทำให้ภรรยาทั้งสองตั้งครรภ์ได้ ถือเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวที่พระเจ้าประทานมาให้

อย่าลืมนะครับว่า ลุงแฝดตัวติดกัน คงชวนกัน สะกิดกัน และมีความสุขกายสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย 4 คนเสมอมา

ท่ามกลางความเจ็บไข้ได้ป่วย ทุลักทุเล ครอบครัวทั้งสองยังมีความเห็นใจ ห่วงใยเอื้ออาทรต่อกันเสมอ เมื่ออายุมากขึ้นเพื่อนฝูงทั้งหลาย งานสังคมที่เคยไปร่วมเสมอก็ต้องถอยตัวเองออกมา อยู่กับความจริงของชีวิต

เกล็ดตำนานที่ผู้พิพากษาเกรฟส์ เพื่อนรักของลุงแฝด บันทึกเอาไว้ระบุว่า อยู่มาวันหนึ่ง แฝดได้รับจดหมายจากเมืองสยาม เขียนโดยนายชู แจ้งมายังน้าแฝดว่า นายน้อยพี่ชายของแฝดที่เหลืออยู่คนเดียวเสียชีวิตแล้วที่บ้านแม่กลอง ภรรยาของลุงน้อยและลูก 8 คน ยังอยู่ในเมืองแม่กลอง

นายชูคนนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นลูกของพี่สาวแฝดที่ไปแต่งงานกับคหบดีในบางกอก และนายชูคนนี้เคยมาเยี่ยมน้าแฝดที่อเมริกา มีการศึกษาได้เรียนหนังสือในบางกอก

ขอนำพาท่านผู้อ่านย้อนอดีต กลับมามองสยามว่าในห้วงเวลานั้นมีเหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจบ้าง

ในช่วงที่แฝดสยามออกจากสยามไปอเมริกา ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.3 มาบัดนี้กลายเป็นลุงแฝดที่อายุ 63 ปี ซึ่งตรงกับรัชสมัยของในหลวง ร.5 ในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้น ในหลวง ร.5 เสด็จเยือนเกาะสิงคโปร์และเกาะชวา (อินโดนีเซีย) เป็นครั้งแรก โปรดเกล้าฯให้เลิกทรงผมมหาดไทย โปรดเกล้าฯให้เลิกการหมอบคลานเวลาเข้าเฝ้าฯ ทรงให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาส ทรงให้ตั้งโรงเรียนสตรีวังหลัง โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือรัฐมนตรีสภา และโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงกิจการทหารให้เป็นแบบตะวันตกครั้งใหญ่

กลับไปดูตำนานชีวิตลุงแฝดที่กำลังป่วย ในอเมริกาครับ

แฝดจันอาการยังไม่ดีขึ้นจากอัมพาตท่อนล่างของลำตัว สุขภาพมีแต่ทรงกับทรุด แต่สิ่งที่สุภาพบุรุษทั้งสองท่านไม่เคยงอแง คือ กฎอยู่บ้านละ 3 วันที่ยึดถือกันมามากกว่า 10 ปี

ในช่วงเวลา 3 วันที่ไปอยู่บ้านของแฝดอิน แฝดจันก็จะต้องหุบปาก ให้แฝดอินเป็นนาย แฝดจันต้องให้ความร่วมมือทุกอย่าง และนี่คือ 3 วันที่แฝดอินห้ามแฝดจันดื่มเหล้าเด็ดขาด ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือดี

แต่ 3 วันถัดมา เมื่อต้องหมุนเวียนไปอยู่ที่บ้านแฝดจัน แฝดอินจะต้องทำเหมือนกับว่าไม่มีตัวตนในโลกนี้ แฝดจันจะกินเหล้าหัวราน้ำ แฝดอินก็ต้องหุบปากเงียบ

นี่คือวงจรชีวิตสุดแสนพิสดารของแฝดบันลือโลกคู่นี้ที่เรียกว่า Siamese Twins ที่ฝรั่งต้องเอามาตีแผ่ให้คนทั้งโลกทราบ

ช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยแสนขลุกขลักผ่านไปราว 3 ปี

เช้าวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2417 เป็นห้วงเวลาที่แฝดทั้งสองต้องอยู่บ้านของแฝดจัน หนุ่มคาวบอยในชุมชน ชื่อ เชฟเพิร์ด มอนโร ดักเกอร์ แวะเวียนมาเยี่ยมลุงแฝด ทักทายพูดคุยพอหอมปากหอมคอ แล้วลากลับ แฝดจันเริ่มมีอาการไอต่อเนื่อง หนักขึ้นและหนักขึ้น เหนื่อย หอบ เจ็บหน้าอก หมดเรี่ยวแรง ซึ่งเดิมก็เป็นอัมพาตอยู่ก่อนแล้ว

หนุ่มน้อยดักเกอร์คงไม่ทราบหรอกว่า เขาคือแขกคนสุดท้ายในชีวิตของ Siamese Twins แฝดบันลือโลกที่ได้มาพบปะพูดคุยด้วย

หลังจากเพื่อนบ้านกลับไปแล้ว แฝดจันไอไม่หยุด บ่นเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด หน้าตาบอกบุญไม่รับ

อาดีเลดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของแฝดจันรีบให้รถม้าไปรับหมอโจตามที่เคยรับปากไว้ ว่าเรียกได้ตลอดเวลา แต่ปรากฏว่าหมอวิลเลี่ยม (ฝรั่งเรียกว่า บิลลี่) นั่งรถม้ามาแทน

หมอบิลลี่ลงความเห็นว่า แฝดจันหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ต้องนอนพักผ่อน ห้ามออกไปโดนความหนาวเย็น ทำให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ ส่วนแฝดอินร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ

แฝดอินที่แข็งแรงดีทำตามหมอสั่ง ให้ความร่วมมือเต็มที่ นอนก็นอนด้วยกันบนเตียงถึงแม้จะไม่ป่วยตลอดจันทร์-อังคาร-พุธ เพราะไม่รู้จะหนีไปไหนมาตั้ง 63 ปีแล้ว ทั้งคู่นอนคุยกัน ให้กำลังใจ ดูแลกันเป็นอย่างดี ความรักของแฝดที่มีต่อกัน ยิ่งใหญ่มากกว่าตำนานรักใดๆ ในโลกนี้ แฝดจันอาการดีขึ้นเล็กน้อย

กฎ 3 วันเป็นสิ่งที่แฝดจันต้องเคารพแบบไม่มีวันอ่อนข้อ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม อาการของแฝดจันทรงตัว ไอน้อยลง แต่ยังคงต้องพักผ่อน ทำร่างกายให้อบอุ่นเสมอ เมื่ออาการกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย แฝดจันยืนยันว่าจะต้องย้ายไปอยู่บ้านของแฝดอินตามกติกา 3 วัน

แฝดอินขอร้องว่าไม่ต้องย้ายไปบ้านแฝดอินหรอก เพราะหมอไม่ให้กระทบหนาว ร่างกายต้องอุ่นตลอดเวลา อาดีเลด ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากก็ร้องขอ มิให้สามีเดินทางระยะ 1 ไมล์เพราะอากาศหนาวจัด

รถม้าเป็นรถเปิดประทุน ไม่มีหลังคา และเย็นวันนั้นอุณหภูมิดิ่งลงสู่จุดเยือกแข็ง หิมะกระหน่ำไร้ความปรานี ถนนขรุขระเต็มไปด้วยหิมะ

แฝดจันเป็นสุภาพบุรุษรักษาคำพูด ในที่สุดแฝดทั้งสองทุลักทุเลหอบหิ้วกันนั่งรถม้าวิ่งฝ่าหิมะ ฝ่าความหนาวเพื่อไปบ้านของแฝดอินตามกติกาบ้านละ 3 วัน

ตามกติกาเรื่องบ้านละ 3 วันนั้น จะต้องเดินทางไปให้ถึงก่อนค่ำมืด รถม้าวิ่งฝ่าความหนาวเย็นมาตลอดทาง แฝดทั้งสองที่ตระกองกอดกันมาตั้งแต่เริ่มหัดเดินที่เมืองแม่กลอง ผ่านมา 63 ปี มาจนบัดนี้ก็ยังต้องกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ชีวิตบั้นปลาย

เวลาผ่านไปนานเกินจะจดจำ รถม้าไปถึงบ้านของแฝดอิน ซาราห์และลูกๆ ลงมาช่วยกันพาพ่อและอาจันที่ป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ และกำลังไอจนหมดแรงขึ้นบ้านทันที

ซาราห์เตรียมซุปร้อนๆ ไว้ต้อนรับสามีและคู่แฝด แฝดจันทานได้ไม่มากนัก เพราะหนาวสั่น และดูเหมือนว่าอาการป่วยจะทรุดลงไปจากความหนาวเย็นที่เพิ่งผจญมาบนรถม้า

ลุงแฝดทานอาหารเสร็จ ทุกคนในบ้านแยกย้ายกันไป

แฝดจันขอร้องให้แฝดอินพากันไปนั่งผิงที่หน้าเตาผิงในบ้านเพื่อรับไออุ่นจากกองฟืนที่เผาไหม้ คนคู่สู้ชีวิตนั่งคุยกันหน้าเตาผิงเป็นเวลานานพอที่จะรับรู้ความรักแท้ที่เป็นนิรันดร์

เมื่อแฝดอินรู้สึกดีขึ้น แฝดคู่ทุกข์คู่ยากก็ประคองกันไปที่ห้องนอน ทันทีที่แผ่นหลังถึงฟูก แฝดจันหลับปุ๋ย

รุ่งสางวันต่อมา เมื่อรู้สึกตัวตื่น แฝดจันบอกกับแฝดอินว่า เมื่อคืนเจ็บหน้าอกมาก เจ็บทั้งคืน นึกว่าจะตายซะแล้ว

เช้าวันศุกร์ที่ 16 มกราคม อาดีเลดเข้ามาสอบถามอาการสามี ซึ่งแฝดจันฝืนตอบไปว่า ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วง แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น อาการของแฝดจันทรุดลง ลุงแฝดทั้งสองนั่งๆ นอนๆ ในบ้าน คุยกันเรื่อยเปื่อยแก้เหงายาวไปจนถึงอาหารค่ำ

หลังอาหารค่ำ ที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบอบอุ่นแฝดพร้อมใจกันเข้านอน

มันเป็นคืนที่เงียบสงัด วังเวง และเย็นยะเยือก

แฝดอินที่สุขภาพดี แข็งแรง เมื่อหัวถึงหมอนหลับสนิท ส่วนแฝดจันที่อาการไม่ค่อยดียังไม่หลับ อึดอัด หายใจลำบาก

แฝดจันสะกิดคู่ชีวิตตัวติดกันที่กำลังกรนให้ตื่น เพื่อขอให้พาไปสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้หน้าต่าง หลังจากสูดอากาศ ดื่มน้ำนิดหน่อย แฝดจันจึงชวนแฝดอินกลับเข้าไปนอน

แฝดอินชิงหลับก่อนได้อีกครั้ง แฝดจันยังไม่หลับ และกระสับกระส่าย

นาฬิกาชีวิตเดินผ่านเที่ยงคืน ข้ามไปวันเสาร์ที่ 17 มกราคม แฝดจันก็ยังไม่หลับ แถมสะกิดแฝดอินให้พาไปนั่งผิงไฟที่ห้องผิงไฟอีกครั้ง แฝดอินงัวเงียปฏิเสธที่จะลุกขึ้น บอกว่าบนเตียงนี่ก็อุ่นพอแล้ว

แฝดจันยืนยันว่า หายใจไม่ออก เขย่าตัวแฝดอินบนเตียง และในที่สุดแฝดอินผู้ให้มาตลอดชีวิต ก็ประคองแฝดจันมานั่งบนเก้าอี้แฝดในห้องที่มีเตาผิงไฟ

ราวตี 1 เศษ หลังจากคุยกันจนอิ่ม ทั้งสองประคองกันกลับไปที่เตียงอีกครั้ง ทั้งสองเอนกายลงบนเตียงพร้อมกัน คราวนี้แฝดจันผล็อยหลับทันทีที่หลังแตะฟูก

ราวตี 4 มีเสียงร้องเรียกออกมาจากห้องของแฝด ทุกคนในบ้านไม่รู้สึกแปลกใจอันใด แต่วิลเลี่ยมลูกชายวัย 18 ของแฝดอิน ถือตะเกียงลุกไปดูห้องนอนพ่อ

วิลเลียมเปิดผ้าห่มดูอาการหายใจของพ่อ ที่บริเวณหน้าอกมีการขยับเล็กน้อย และถามพ่อว่าเป็นไงบ้าง แฝดอินตอบลูกว่า พ่อสบายดี ไม่เป็นอะไร และบอกให้ไปดูอาจัน

วิลเลียมเดินอ้อมเตียงไปอีกด้าน ขยับตะเกียงในมือลงไปใกล้ตัวอาจัน เพ่งมองที่หน้าอกชั่วครู่ใหญ่ ไม่มีการไหวติง หน้าอกนิ่งสนิท และเมื่อเอื้อมมือไปแตะลำตัวอาจัน สัมผัสที่มือได้รับคือความเย็นเยือก

วิลเลียมพูดพึมพำในลำคอว่า อาจันตายแล้ว !

วิลเลียมตะโกนเรียกคนในบ้านให้มาช่วยกันดูอาจันอีกครั้ง ซึ่งสมาชิกในบ้านทุกคนมาสัมผัส พยายามขยับ ปลุกแล้วปลุกอีก แต่อาจันหาได้ไหวติงแต่ประการใดไม่

แฝดอินที่นอนเคียงคู่ทราบดีว่า พญามัจจุราชได้มานำตัวแฝดจันไปแล้วเป็นคนแรก

เสียงร้องไห้ระงมตกใจ เสียใจดังทั่วบ้าน เสียงคร่ำครวญจากลูกหลานโหยหวนระคนกันไป

แฝดอินอยู่ในอาการผวาสุดขีด พึมพำในลำคอฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะแฝดอินคือ คนเดียวบนปฐพีนี้ที่ทราบว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา

ประโยคเดียวที่พอฟังรู้เรื่องจากปากของแฝดอิน คือ ต่อไปก็ฉันนะสิ !

พญามัจจุราชมารับแฝดจันไปก่อน ร่างกายคน 2 คนที่เชื่อมติดกันมา 63 ปี มีการใช้อวัยวะร่วมกันมาตลอด พญามัจจุราชจะจัดการอย่างไรต่อไปกับแฝดอิน

เชิญติดตามตอนต่อไปครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image