ถ้าสังเกต หลังรัฐประหารทุกครั้งมักชูธงให้ “ปฏิรูปตำรวจ” กันทุกทีตำรวจถูกทุบถูกตีถูกชำแหละไม่มีชิ้นดี มีส่วนจริงบ้างเท็จบ้างนั่นก็แล้วแต่กระแสที่จุดกันขึ้นมา
แต่กล่าวได้ว่า เมื่อถึงคราวตำรวจถูกหยิบขึ้นเขียง ทุกคณะทำงานปฏิรูปล้วนพบกับความล้มเหลว
ทำไมเป็นเช่นนั้นไปได้?
“ตำรวจ” เป็นองค์กรสำคัญอย่างยิ่งในระบบยุติธรรม ชอบเรียกกันว่าเป็น “ต้นธาร” ของกระบวนการยุติธรรม
ด้วยเหตุที่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานก่อนที่องค์กรอื่น อาทิ อัยการ และศาล จะวินิจฉัยและตัดสิน องค์กรตำรวจจึงตกเป็น “เป้า” การยึดครองของผู้มีอำนาจการเมือง
ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลจากรัฐประหารนิยมใช้ตำรวจเป็น “เครื่องมือ” ชิ้นหนึ่งสำหรับ “รับใช้”
ด้านหนึ่ง สนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลฝ่ายตน กับอีกด้าน ใช้บั่นทอน ทำลายฝ่ายตรงข้าม
คำว่า “ปฏิรูปตำรวจ” จึงมักเป็นเพียงการขู่กรรโชกให้ยอมสยบ
เมื่อการเจรจาได้ข้อยุติก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น !
รูดม่านปิดฉากปฏิรูปตำรวจ
วันนี้กลับมีอีกแนวทางหนึ่งปรากฏขึ้น
“ปฏิรูปสวัสดิการตำรวจ”
ต่างไปจากการขู่กรรโชก
นี่เป็นการนำเสนอเพื่อ “ให้” เป็นการ “เอาใจ” ถึงระดับรากหญ้าหรือชั้นผู้น้อยของตำรวจ
ไม่ใช่การเจรจาต่อรองในที่ลับเพื่อแลกผลประโยชน์กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
การปฏิรูปสวัสดิการมีความเป็นไปได้
พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนงค์ หัวหน้าพรรคประชานิยม ร่อนสารหาเสียงกับตำรวจ
มีศึกมาประชิดและตำรวจต้องออกรบทุกวัน
พรรคประชานิยมจะปฏิรูปสวัสดิการตำรวจทุกด้านด้วยการจัดตั้ง “กองทุนป้องกันปราบปราม” หาเงินและมีเงินเพียงพอมาจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มให้กับตำรวจชั้นประทวนคนละ 10,000 บาทต่อเดือน ส่วนตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่ปฏิบัติงานคนละ 20,000 บาทต่อเดือน
ตำรวจจะมีรายได้พอใช้ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
เพิ่มสวัสดิการด้านรักษาพยาบาลให้ทั่วถึง ให้มีอาคารรักษาพยาบาลข้าราชการตำรวจครบทุกจังหวัด
สร้างอาคารที่พักเพิ่มอีก 60,000 ห้อง
ให้เบิกค่าเช่าบ้านได้ตามจริง
จัดตั้งธนาคารดอกเบี้ยต่ำ
“ประชานิยม” มากมาย ประชานิยมจริงๆ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมแต่ก็มี “เหตุผล” น่ารับฟัง
“ต้นธาร” กระบวนการยุติธรรมจะเปลี่ยนไปถ้าเริ่มจากการ “ปฏิรูปสวัสดิการ” ให้กับตำรวจเสียก่อน !?!!